ใครจะเชื่อว่าบุคลากรคนสำคัญของวงการราชการไทย ที่เคยดำรงตำแหน่งทั้งปลัดกระทรวงการคลัง อธิบดี 3 กรมสำคัญของประเทศ กรมศุลกากร กรมสรรพสามิตและกรมสรรพากร อย่าง สมใจนึก เองตระกูล จะเป็นอีกหนึ่งหนุ่มที่ลุ่มหลงความงามถึงขนาดควักกระเป๋าร่วมทุนกับลูกสาว ปุ๊กกี้-สิรินารถ เองตระกูล เปิด บีบี คลีนิก แอนด์ บิวตี้ เซ็นเตอร์ นำเข้าความงามเทรนด์เกาหลีครบวงจรมาบริการแห่งแรกในไทย
ในวันที่ได้พบเจอคุณแป๋ง-สมใจนึก เราแทบไม่เชื่อว่าเขามีอายุ 69 ปีแล้ว เพราะภาพที่ปรากฏเขายังคงดูดี สุขภาพ สมบูรณ์แข็งแรง สีหน้าสดใสกว่าคน รุ่นเดียวกันมากนัก “ผมให้ความสำคัญเรื่องสุขภาพ บุคคลิกและความงามครับ เพราะผมเชื่อคนเราหากมีบุคลิกภาพที่ดีทุกอย่างจะดีหมด ไปไหนมาไหนไม่อายใคร คนที่อยู่ใกล้ก็สบายใจ หากปล่อยตัวเองให้แก่งักไม่สนใจตัวเองทุกอย่างรอบตัวมันไม่สดใส” อดีตปลัดกระทรวงการคลังบอกถึงเหตุผลที่ทำให้เขาต้องดูแลตัวเอง
คุณแป๋งเล่าย้อนให้ฟังว่า สนใจเรื่องความงามมาตั้งแต่เด็กเพราะคุณแม่เป็นคนรักสวยรักงาม แต่ด้วยความที่เขาเป็นผู้ชายอีกทั้งในอดีตนวัตกรรมด้านความงามยังมีไม่มากนัก จึงเน้นในเรื่องสุขภาพและอาหารการกินเป็นหลัก และมาเริ่มดูแลตัวเองอย่างจริงจังเมื่อประมาณปี 2534
“ตอนนั้นผมอายุประมาณ 47 ก็ใกล้จะ 50 ก็เริ่มรู้สึกว่าสุขภาพร่างกายไม่เหมือนเดิม ฮอร์โมนในตัวทำงานน้อยลง เห็นชัดที่เส้นผมเริ่มขาว ผมก็เริ่มทานยาบำรุงฮอร์โมนมาเติมเพื่อบำรุงเส้นผมให้เหมือนเดิม จากนั้นก็มาดูทีละจุดว่าตรงไหนที่มีปัญหา ผมก็ศึกษาหาวิตามินกินเสริมเข้าไป และก็ดูว่าช่วยได้หรือไม่ หากยาบำรุงช่วยไม่ได้มีวิธีอื่นหรือเปล่า หากมีวิธีอื่นที่ดูแล้วไม่มีผลกระทบก็ลองทำดู”
คุณแป๋งบอกว่าเขาดูแลทั้งภายนอกและภายใน ภายนอกต้องดูดีเสมอ ทั้งผิวหน้าและผิวหนัง ผิวหน้าดูแลทั้งเรื่องของการใช้ครีม ใช้เครื่องกระตุ้นหน้าตา เพราะใบหน้าเมื่ออยู่ไปนานๆมันก็เหี่ยวย่น ถ้ากระตุ้นคอลลาเจนภายในบ้างก็จะทำให้เหี่ยวเป็นริ้วเป็นรอยลดลงเยอะ แต่เราต้องมีวิธีการดูเช่นทำเลเซอร์เรื่องผ่าตัดบ้างมันจะทำให้เราดีขึ้นมากและสิ่งสำคัญอีกอย่างคือเรื่องการใช้ครีมต่างที่เหมาะสมกับเรา
สำหรับครีมทาผิว เขาบอกว่าใช้ทุกอย่างที่ขวางหน้า อย่างครีมทาหน้าจะเลือกใช้ให้ถูกกับผิวหน้า ตรงนี้จะช่วยให้เต่งตึง ไม่เกินกว่าวัย เพราะด้วยสภาพร่างกายของเราหากมีอายุขึ้นมันคงจะหย่อนยานไปตามวัย ร่างกายไม่สามารถผลิตน้ำมันไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆในร่างกายได้เหมือนตอนเป็นวัยรุ่น แต่หากทาแล้วไม่ดีขึ้นก็หาเคล็ดลับหรืออะไรมาช่วยเสริม
โดยเพื่อนสนิทนพ.มนัส ฉายาวิจิตรศิลป์ ศัลยแพทย์ชื่อดัง เจ้าของคลินิกเมโกะคอยให้คำแนะนำว่าหากมีปัญหาเรื่องหางตาตกต้องทำอย่างไร ซึ่งตรงนั้นเองเป็นจุดเริ่มต้นให้ศึกษาเรื่องศัลยกรรม และทดลองทำ “ผมทำหมดผ่าตา ใต้ตาพอเริ่มเป็นถุงก็ทำ ร้อยไหม ตรงไหนหย่อนก็เสริมไปเรื่อย บางทีไปตีกอล์ฟหน้าดำมาก็ไปทำหน้าขาว ฟิลเลอร์ โบท๊อกซ์ เลเซอร์ก็ทำ คือ มีอะไรมาใหม่ผมก็ลองหมดลอง(หัวเราะ) ผมไม่กลัวหรอกครับทำไปเรื่อย สนุกดี”
ภายนอกดีแล้วเราก็ต้องมาดูแลเรื่องภายใน “ผมทำงานใช้สมองและร่างกายเยอะ ทำงานเราต้องคิดบางครั้งเครียด ตรงนี้มีผลกระทบตามมาแน่นอน เราก็ต้องพยายามไม่เครียด โชคดีที่ผมเป็นคนอารมณ์ดี ก็เลยไม่คิดอะไรมาก แต่ต่อให้อารมณ์ดียังคนเราเมื่ออายุมากขึ้นอะไรก็ช่วยไม่ได้ ตอนนี้ผมสนใจเรื่องสเต็มเซลคือที่ประเทศอื่นๆเขายอมรับกันเล้วแต่ของเรา ยังเป็นเรื่องไม่ถูกกฎหมาย แต่ผมว่าอนาคตวันหนึ่งเราต้องยอมรับในเรื่องนี้ เพราะเป็นการนำเซลส์ของร่างกายมาใช้กับตัวเอง และเดี๋ยวนี้เทคโนโลยีใหม่ๆเกิดขึ้นมาก”
เมื่อถามถึงกระแสต่อต้าน เขายอมรับว่า มีบ้างโดยเฉพาะลูกชายที่รับไม่ได้เลยที่เห็นพ่อทำหน้า “เจ้าเป๊ก (ร.ท.สัญชัย เองตระกูล) นี่ตัวดีเลย แอนตี้ผมสุดๆ โวยวายรับไม่ได้ (หัวเราะ) ผมทำทรีทเมนต์หน้าสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง แล้วยังไงถึงวันนี้เจ้าเป๊กเป็นหนักกว่าผมอีก ลองไปถามสิมากกว่าผมอีกมั๊ง เรื่องนี้ผมมองเป็นเรื่องธรรมดานะ เพราะผมเชื่อว่าเดี๋ยวนี้ผู้ชายให้ความสำคัญมาก เพียงแต่ไม่มีใครพูด”
สำหรับจุดพอใจ เขาบอกว่าก็คงทำไปเรื่อยๆ การร้อยไหมเพื่อยกกระชับใบหน้าจะมีระยะเวลา 6 เดือน หากครบ 6 เดือนอาจจะมีบางจุดหย่อนยานเขาก็จะปรึกษาหมอและทำเพิ่มเติมในตรงนั้น
แม้บทบาทการนั่งตำแหน่งผู้บริหารหน่วยงานราชการจะลดลงไปมากแล้ว หากแต่ด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล ทำให้สมใจนึกถูกทาบทามไปเป็นที่ปรึกษาให้บริษัทเอกชนใหญ่ๆมากมาย ซึ่งเขาบอกว่าหลังจากนี้คงค่อยๆลดงานบริหารที่อื่นลง เพื่อหันไปเป็นที่ปรึกษาด้านโลจิสติกส์ ให้ บีบี คลินิกของลูกสาวคนสวย แม้จะงานใหม่ที่ทำนี้อาจจะไม่ใช่งานถนัดนักหากแต่งานนี้เป็นงานที่เขาเต็มใจทำ เพราะนอกเหนือจากได้ช่วยลูกแล้วเขายังได้ทำงานในสิ่งที่เขารักอีกด้วย