xs
xsm
sm
md
lg

“ช้างน้อย-วิสทา กุญชร ณ อยุธยา” ครอบครัวเด็กแนว กับวิถีการเลี้ยงลูกแบบพ่อแม่ยุคใหม่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


>>Exclusive Interview สัปดาห์นี้ เราจะพาไปพูดคุยกับ “คุณช้างน้อย และ คุณกี๋-วิสทา กุญชร ณ อยุธยา” หนุ่มมาดเท่กับสาวสวยร่างเล็กคู่นี้นับเป็นคู่รักที่หลายๆ คนคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี เส้นทางรักของทั้งคู่ลากยาวจากรุ่นพี่รุ่นน้องร่วมสถาบัน ยกระดับสู่คู่รักวัยใส จวบจนวันนี้ผ่านมาเกือบสิบปีจาก 2 ชีวิตขยายกลายเป็น 4 ก่อร่างสร้างครอบครัวแสนอบอุ่นที่ถูกเติมเต็มด้วยลูกสาวตัวน้อยอีก 2 คน ที่ทั้งคู่ทุ่มเทกายใจให้เวลาดูแลเลี้ยงดูอย่างเต็มที่ด้วยแนวทางที่แตกต่างอย่างสร้างสรรค์ตามสไตล์คุณพ่อคุณแม่เจเนอเรชันนี้

ด้วยภารกิจอันมากมายในฐานะ Working Dad และ Working Mom ของทั้งคู่ การนัดหมายสัมภาษณ์ของ Celeb Online ในวันนี้จึงมีขึ้นในช่วงเย็นย่ำหลังเลิกงาน ณ เขตบ้านเก่าแก่ของครอบครัวกุญชรย่านกล้วยน้ำไท ที่ภายในบริเวณบ้านแบ่งออกเป็นอาคารหลายหลังที่เหล่าครอบครัวของพ่อแม่และพี่น้องคุณช้างน้อยอยู่รวมกันอย่างอบอุ่น โดยกลางสนามหญ้ามีทายาทรุ่นหลานของตระกูลกุญชรวิ่งเล่นกันอย่างร่าเริง ก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อนที่บ้านของแต่ละคน

นอกจากพื้นที่เล่นสนุกท่ามกลางธรรมชาติของสวนด้านนอกแล้ว 2 สาวน้อยของเรา “น้องเอรา กุญชร ณ อยุธยา” พี่สาวคนโตวัย 3 ขวบครึ่ง และ “น้องไอยรินทร์ กุญชร ณ อยุธยา” วัย 7 เดือน ยังมีห้องเด็กที่คุณพ่อช้างน้อยและคุณแม่กี๋ ต่อเติมพื้นที่บ้านให้เป็นพิเศษ เพื่อเป็นอาณาจักรของทั้งคู่โดยเฉพาะ เป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้ เล่นสนุกและฝึกพัฒนาการต่างๆ อย่างครบครัน

กี้-วิสทา คุณแม่ยังสาวคนสวยที่ทำหน้าที่ดูแลประชาสัมพันธ์ของแบรนด์คาร์เทียร์ (Cartier) หลังจากกลับถึงบ้านก็ตรงเข้ามาทักทายกับลูกน้อยทั้ง 2 อย่างสดชื่น ไม่มีอาการเหนื่อยอ่อนแต่อย่างใด สมกับเป็นสาวสมัยใหม่ที่เก่งกาจทั้งบทบาทในและนอกบ้าน

วิสทา :: กี๋ลาออกช่วงท้องคนแรก แล้วก็อยู่เลี้ยงดูเขาอย่างใกล้ชิด จนเอราอายุได้ 8 เดือนก็กลับไปทำงาน แล้วก็มีลาพักสั้นๆ ช่วงท้องคนที่ 2 โดยตอนแรกก็สองจิตสองใจนะ เพราะทางหนึ่งก็อยากเป็นแม่บ้านจะได้มีเวลาดูแลลูกเต็มที่ อีกใจก็อยากมีอะไรทำด้วย ซึ่งพี่ช้างเขาก็สนับสนุนให้เราออกไปทำงาน

ช้างน้อย :: มันเป็นกุศโลบายอย่างหนึ่งครับ เพราะถ้าเป็นแม่บ้าน อยู่บ้านเลี้ยงลูกอย่างเดียว เขาจะมีเวลาว่าง คิดมาก เพราะเขาโฟกัสอยู่แต่ลูกกับสามี คิดโน่นคิดนี่แล้วจะฟุ้งซ่านง่าย แบบทำไม 6 โมงยังไม่ถึงบ้านอีก แอบไปที่ไหน ไปกับใครหรือเปล่า มันทำให้เขาเครียดสุขภาพจิตเสียเปล่าๆ ถ้าออกไปทำงาน โดยแบ่งเวลาให้ดี เขาก็ยังดูแลลูกได้ด้วย เขาก็จะมีหน้าที่การงาน มีเรื่องอื่นให้คิด และมีสังคมของตัวเองด้วย” ช้างน้อยกล่าวเสริม

วิสทา :: ใช่ค่ะ เพราะตอนที่ลาออกมาเลี้ยงลูกเฉยๆ กี๋โทรศัพท์หาเขาทั้งวันเลย ลูกอย่างนั้นอย่างนี้ จะกลับบ้านกี่โมง โทร.ตามทุกเย็นเลย เพราะเราว่างไง มองแต่นาฬิกา คนเราเคยมีเพื่อน มีสังคม ทำงานอยู่ข้างนอก วันหนึ่งมาอยู่แต่ในบ้านกับลูกมันก็เลยรู้สึกเหงา”

::รักวัวให้ผูก รักลูกให้สอนด้วยเหตุและผล

เมื่อทั้ง 2 คน ต่างออกไปทำงานนอกบ้าน ทั้งคู่จึงต้องแบ่งเวลากันช่วยดูแลลูกน้อย ร่วมกับพี่เลี้ยงและคุณย่าคุณยายคอยช่วยเลี้ยงดูแล้ว โดยฝ่ายคุณพ่อซึ่งมีตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด นิตยสาร อะ เดย์ และเป็นดีเจคลื่นแฟต เรดิโอ เล่าให้ฟังว่า “ผมจะมีหน้าที่ไปส่งเอราไปโรงเรียนทุกเช้า ส่วนกี๋จะรับบทหนักช่วงเย็น และคนเล็กยังไม่หย่านมก็จะใกล้ชิดกับคุณแม่มากหน่อย คนโตจะอยู่กับผมเยอะกว่า”

กี๋ :: เอราเขาจะติดพ่อ รักพ่อมาก เพราะพี่ช้างน้อยเขาจะใจดี มีอะไรก็จะไปอ้อนพ่อ ส่วนกี๋จะดุกว่า ตามธรรมดาของคุณแม่ที่จะต้องเป็นผู้คุมระเบียบ แต่เราทั้งคู่เลี้ยงลูกแบบไม่ได้ดุให้ลูกกลัว หรือลงโทษนะคะ เราเลี้ยงแบบพูดคุย สั่งสอนและตักเตือนด้วยเหตุผลมากกว่า ว่าสิ่งไหนทำไม่ได้ เพราะอะไร รู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควร สอนให้เขามีวินัย ปลูกฝังเรื่องมารยาทตั้งแต่เด็กเลย

ช้างน้อย :: การดุเราจะมาพร้อมคำสอนตลอด ไม่ใช่ว่าดุแล้วลงโทษ บ้านนี้ไม่มีการตีนะ ทุกครั้งที่เขาผิดเราจะบอกว่าเพราะอะไร ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าตรงไหนผิด อย่าไปคิดว่ายังเล็ก ฟังไม่รู้เรื่องหรอก จึงไม่อธิบาย ผมว่าพูดไปเถอะ มันไม่มีอะไรเสียหายหรอก เด็กๆ เขาความจำดีและเรียนรู้เร็วกว่าที่เราคิดมากนะ ยกตัวอย่างง่ายๆ เลย ในห้องเรียนของเอรา มีฝาแฝดอยู่คู่หนึ่งหน้าเหมือนกันมาก ทั้งครูและผู้ปกครองเนี่ยไม่เคยแยกถูกเลย แต่เด็กในห้องทุกคนกลับรู้ ดูออกว่าใครเป็นใคร เขาเก่งกว่าเราอีกนะครับ

:: ตั้งชื่อเองแบบไม่พึ่งดวง

สไตล์การเลี้ยงลูกของคุณช้างน้อยและคุณกี๋นั่นต้องเรียกได้ว่าทันสมัย สมกับเป็นคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ ที่มีความแตกต่างอย่างสร้างสรรค์ ที่ทำให้บางครั้งก็ขัดแย้งแนวทางการเลี้ยงดูบุตรหลานของคนเจเนอเรชันก่อนอยู่บ้าง อย่างการตั้งชื่อ ทั้งคู่ร่วมกันคิดชื่อลูกทั้งสองเอง เน้นชื่อที่เรียกง่าย ความหมายดี สะท้อนถึงราชสกุลกุญชร ได้อย่างลงตัว

วิสทา :: คนโตชื่อ เอรา มาจากเอราวัณค่ะ ส่วนคนเล็กชื่อ ไอยรินทร์ ตั้งให้คล้องกัน โดยมาจากไอยรา กับพระอินทร์ มีความหมายถึง ช้าง ทั้งคู่ ออกเสียงก็ง่าย ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ โดยเราตั้งกันเอง ช่วยกันคิดตั้งแต่เขายังอยู่ในท้อง แต่เก็บเงียบไว้ไม่บอกใคร จนกระทั่งเขาคลอดค่อยแจ้ง เพราะเกรงว่าต้องโดนค้านให้ไปดูฤกษ์ยามตกฟากก่อนแน่ๆ

ช้างน้อย :: คนบอกต้องให้พระตั้ง หมอดูบอก ชื่อไหนดี ชื่อไหนไม่ดี แต่เราไม่คิดอย่างนั้น อย่างชื่อผมเอง ที่บ้านตั้งให้ ใช้มาแต่เด็กจนโตถึงรู้ว่ามีอักษรที่เป็นกาลกิณี แต่ผมก็โตมาได้อย่างดีไม่เห็นมีปัญหาอะไร ชื่อกี๋เองก็เหมือนกัน เกิดวันจันทร์ไม่ควรมีสระ ชีวิตเขาก็มีความสุขดี เราเลยไม่ได้ไปยึดติดตรงนั้น เราเชื่อว่าชื่อที่พ่อแม่ตั้งเนี่ยแหละเหมาะสมและเป็นพรอันดีที่สุดแล้ว

::แหกคอกส่งลูกเข้าโรงเรียนวิถีพุทธ

เมื่อถึงวัยเข้าโรงเรียนของสาวน้อยคนโต ทั้งคู่ก็แหวกธรรมเนียมปฎิบัติของครอบครัว ด้วยการเลือกโรงเรียนทางเลือก ซึ่งเป็นโรงเรียนวิถีพุทธ แทนที่โรงเรียนเอกชนชื่อดัง

ช้างน้อย :: ปกติแล้ว ทางครอบครัวผม ถ้าเป็นลูกชายเขาจะต้องเข้ากรุงเทพคริสเตียน ส่วนลูกสาวก็ต้องมาแตร์ เดอี เท่านั้น แต่ผมกับกี๋เลือกโรงเรียนทางเลือกที่ไม่ได้แค่ให้ความรู้ในตำราอย่างเดียว แต่ให้สิ่งดีๆ ในชีวิตเขาเพิ่มเติมด้วย เพราะเราเห็นสภาพสังคมทุกวันนี้แล้วก็อดเป็นห่วงเขาไม่ได้ ต้องพยายามหาสภาพแวดล้อมที่ดีให้เขา แล้วก็ถ้าได้โรงเรียนที่ดี ให้เขาเติบโตไปในแนวทางที่ดีก็จะช่วยเป็นเกราะป้องกันให้เขาได้ ก็พยายามหาข้อมูลว่ามีโรงเรียนไหนที่ตรงใจเราบ้าง

วิสทา :: สมัยนี้โรงเรียนทางเลือกมีเยอะมากนะคะ แต่เราต้องเลือกอันที่เหมาะกับเรา เพราะบางแห่งก็ฮาร์ดคอร์มาก แบบห้ามทุกอย่าง ไม่ใช้พวกอุปกรณ์ทันสมัยเลย ให้อยู่กับธรรมชาติ เล่นกับดินกับทรายอย่างเดียว อันนั้นก็ไม่ไหวสุดโต่งเกินไป พอดีคุณยายของกี๋เขาไปอ่านเจอข้อมูลของโรงเรียนทอสี เห็นว่าน่าสนใจ ก็เลยตัดเก็บมาให้ ซึ่งพอศึกษารายละเอียดแล้วมันตรงใจเรามาก แถมอยู่ใกล้บ้านด้วย เรียกได้ว่าทุกอย่างลงตัวหมด

ช้างน้อย :: ทอสี เป็นโรงเรียนวิถีพุทธ ที่เขามีแนวคิดที่น่าสนใจมาก เขาให้ทั้งเรื่องการศึกษาและธรรมะ คือช่วยพัฒนาทั้งทางสมองและจิตใจไปด้วยกัน ทุกวันพระ นักเรียนทุกคนจะใส่ผ้าถุง และจะมีการตักบาตรโดยมีพระมารับบาตรที่โรงเรียนเลย

ที่นี่เขามองว่าในวัยเด็ก คนที่มีอิทธิพลมากที่สุดคือ พ่อแม่และครู ดังนั้น ทั้ง 2 ฝ่ายต้องทำงานร่วมกัน เราต้องรู้เท่ากันว่าตอนนี้เด็กเติบโตไปอย่างไรบ้าง กำลังเรียนรู้เรื่องใด พ่อแม่ต้องมีบทบาทสำคัญในการสอนด้วยไม่ใช่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ครูอย่างเดียว เราต้องสื่อสารถึงกันตลอด พ่อแม่ส่วนใหญ่อาจจะคิดว่าเอาเวลาไปทำงาน ให้ได้เงินเยอะๆ จะได้ส่งลูกเข้าโรงเรียนดีๆ ส่งลูกไปให้ครูดูแล ซึ่งผมว่ามันไม่ใช่

วิสทา :: ก่อนเปิดเทอม ผู้ปกครองต้องไปอบรมก่อนเป็นเดือน เพื่อจะเรียนรู้ถึงเนื้อหาที่เขาจะเรียน ดูเรื่องจิตวิทยาเด็ก คือเตรียมความพร้อมก่อน เพื่อเราจะได้สอนเขาถูก นอกจากนี้ผู้ปกครองยังต้องไปปฏิบัติธรรมปีละ 6 ครั้ง และก็มีแฟมิลีทริปแบบธรรมะอีกเทอมละครั้ง

:: ไม่ต้องเก่ง ไม่ต้องรวย แต่ต้องเป็นคนดี

ผู้ปกครองนักเรียนที่นี่ต้องมีความพร้อมมาก ต้องมีเวลาให้และมีความเข้าใจ ก่อนรับนักเรียนจึงต้องมีการสอบผู้ปกครองก่อนนะ เขาต้องวัดแนวคิดทัศนคติ วัดความพร้อม

ช้างน้อย :: ตอนผมไปสอบก็แอบเครียดเหมือนจะเอนทรานซ์เลยนะ ต้องเขียนอัตนัยตอบกันเป็นหน้าๆ เลย แถมต้องมีสอบสัมภาษณ์อีกด้วย ครูใหญ่ลงมาสอบเองเลย เขาตรวจดูให้มั่นใจว่าเราพร้อมที่จะเรียนที่นี่จริง ไม่ใช่ว่าใครอยากเข้าก็เข้าได้ อย่างปีผมสอบ มีคนสมัคร 50 คน เขารับแค่ 18 คนเท่านั้น ขนาดโรงเรียนไม่ใหญ่มาก เพราะเขาต้องการดูแลเด็กได้ทั่วถึง

ผมชอบสังคมของโรงเรียนขนาดเล็กกำลังพอเหมาะนี้ เพราะมันเหมือนคัดมาแล้วระดับหนึ่ง เพราะพ่อแม่ที่จะตัดสินใจส่งลูกมาเรียนที่นี่ ก็จะเป็นคนที่คิดอะไรคล้ายๆ เรา มองสังคมคล้ายๆ กัน ถ้าส่งเขาไปโรงเรียนดังๆ ขนาดใหญ่ นักเรียนหลายร้อย ผู้ปกครองก็เยอะ และแต่ละคนอาจจะมีจุดมุ่งหมายและแนวคิดแตกต่างกันไป บางคนอาจจะหวังให้ลูกเรียนเก่งมากๆ ต้องเกรด 4 เท่านั้น หรือบางคนก็แบบโตไปต้องรวยเท่านั้น คุณธรรมไม่รู้ ไม่สน

อย่างผมเคยเจอคนที่ส่งลูกไปเรียนโรงเรียนดัง ค่าเล่าเรียนแพงๆ แล้วรู้สึกว่าต้องเอาให้คุ้ม อย่างเมื่อปีที่แล้วน้ำท่วมใหญ่ โรงเรียนประกาศให้หยุด แต่ตัวบ้านเขาเองไม่ท่วม เขารู้สึกว่าทำไมต้องหยุดล่ะ แล้วก็คิดว่าจ่ายไปเต็มร้อย แต่ได้เรียนไม่เต็ม ต้องมีชั่วโมงเพิ่มให้ครบ หรือไม่ก็ต้องคืนเงินมาถึงจะยุติธรรม คนแบบนี้มีเยอะนะ ซึ่งเราก็ไม่อยากได้สังคมแบบนั้นให้ลูก สำหรับผมลูกไม่ต้องเก่งมากก็ได้ จบมาไม่ต้องรวยมากก็ได้ แต่ขอให้เป็นคนดี ให้มีความสุขในชีวิตดีกว่า เราจึงเลือกโรงเรียนนี้ให้เขา

วิสทา :: แนวทางการสอนเขาก็ดีค่ะ อย่างมีเด็กที่เขาติดดูดขวดนม คุณครูเขามีวิธีการสอนให้เลิก คือไม่ใช่แค่สั่งห้ามไม่ให้ทำ แต่เขาใช้วิธีชักจูงให้เด็กเอาขวดนมมาบริจาค คือให้รู้สึกว่าเขาโตแล้วนะ มันไม่ได้จำเป็นต้องใช้แล้ว ให้เขาไปให้คนอื่นที่เขาได้ใช้ประโยชน์ดีกว่า ซึ่งนอกจากจะทำให้เขาเลิกนิสัยได้แล้ว ยังรู้จักเสียสละและมีจิตใจเผื่อแผ่ด้วย แถมที่นี่ยังเน้นเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อม อย่างร้านอาหารหรือร้านขายน้ำเขาจะไม่มีพวกกล่องโฟม ถ้วยพลาสติก นักเรียนทุกคนจะมีภาชนะเป็นของตัวเอง เวลาไปโรงเรียนเอราจะหิ้วตะกร้าไป ในนั้นจะมีกล่องข้าว แก้วน้ำ ถุงผ้า จัดใส่ไว้ครบเลย สอนปลูกฝังพฤติกรรมที่ดี ให้ช่วยลดขยะและดูแลรักษาสภาพแวดล้อมโลก

:: ลูกคือที่หนึ่งเสมอ

ไม่ใช่แค่ในเรื่องการเรียนเท่านั้นที่เขาจะใส่ใจดูแลและทุ่มเทเวลาให้กับลูกน้อย หากแต่ทั้งคู่ยกให้ลูกเป็นความสำคัญอันดับหนึ่งเสมอ

วิสทา :: ไม่ว่าจะทำอะไรเราก็นึกถึงเขาเป็นหลัก ตัวเราเป็นเรื่องรองลงมา อย่างพี่ช้างเป็นคนชอบดูภาพยนตร์ แต่ตั้งแต่ท้องลูกคนแรก เราสองคนไม่เคยไปดูหนังในโรงด้วยกันอีกเลย เพราะเขายังเด็กเกินกว่าจะพาเข้าโรงภาพยนตร์ แต่ก่อนก็อาศัยซื้อแผ่นมาเปิดดูที่บ้านแทน แต่ตอนนี้น้องเริ่มโตแล้ว จากดูที่บ้าน พี่ช้างต้องเปลี่ยนไปเปิดดูบนรถแทน

ช้างน้อย :: เพราะเราไม่สนับสนุนให้ลูกดูทีวี เพราะมันจะทำให้สมาธิสั้น ที่นี่โทรทัศน์มีไว้เหมือนเป็นเฟอร์นิเจอร์นะ แทบไม่ได้เปิดใช้เลย ผมกับกี๋จะมีเปิดดูข่าวด้วยกันในห้องนอนบ้างเฉพาะตอนดึกๆ หลังจากที่ลูกหลับไปหมดแล้ว แต่ด้วยความที่ผมเป็นคนชอบดูหนังมาก เป็นกิจกรรมแห่งการผ่อนคลายของผม จะดูที่บ้านลูกก็ป่วนเปี้ยนอยู่กับเราตลอดเลยต้องหาวิธีอื่น ก็อาศัยช่วงเวลาตอนนั่งรถเดินทางไปไหนมาไหนนี่แหละเปิดหนังดู

ผมไม่ให้ลูกดูโทรทัศน์ แม้แต่การ์ตูนยอดฮิต อย่าง ทอม แอนด์ เจอร์รี่ เราก็ไม่อยากให้เขาดู เพราะเนื้อหามันเป็นการแกล้งกัน ตีกัน แก้แค้น มันเป็นปลูกฝังความรุนแรง ความขัดแย้ง แบบไม่ทันรู้ตัว หรืออย่างพวกคอมพิวเตอร์ผมก็ยังไม่ให้เขาเล่นนะ ซึ่งไม่ใช่ว่าจะแอนตี้เทคโนโลยีนะครับ แต่ผมคิดว่ามันยังไม่ถึงเวลาของเขา เขายังเด็กไป วิจารณญาณในการดูการเล่นอะไรพวกนี้เขายังไม่มี รอให้เขาโตกว่านี้สักหน่อย ผมถึงค่อยให้เขาเรียนรู้ไปตามวัย รู้จักกลั่นกรองจะได้ใช้เทคโนโลยีได้อย่างถูกทาง

ไม่เหมือนเด็กๆ ทุกวันนี้ที่ใช้เครื่องมือพวกนี้ผิดทาง อย่างไปโกรธใครมาระบายในเฟซบุ๊ก รักพ่อรักแม่ไปเขียนบอกในโซเชียลมีเดีย แต่ไม่บอกตัว เกลียดใครมาเขียนด่าในนั้น ซึ่งมันไม่ใช่แล้ว เป็นการใช้อย่างไม่มีค่าอะไร เราต้องสอนให้เขาค่อยเป็นค่อยไป รู้จักคิดก่อนใช้ จะได้ใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ได้อย่างถูกวิธีและเกิดประโยชน์

เรียกว่าทั้งคู่เป็นพ่อแม่ยุคใหม่ ที่แม้จะมีภารกิจการงานมากมายให้รับผิดชอบ แต่ก็จัดสรรทุ่มเทเอาใจใส่ให้กับลูกน้อยอย่างเต็มที่ พร้อมทั้งมีแนวคิดในการดูแลเด็กแบบทันสมัย ที่แม้บางครั้งจะขัดแย้งกับความคิดความเชื่อของผู้หลักผู้ใหญ่อยู่บ้าง แต่นั่นก็เพื่อก่อร่างสร้างเด็กตัวน้อยๆ ในวันนี้ให้กลายเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพในวันข้างหน้า

สองพี่น้อง น้องเอราและน้องไอยรินทร์ ในห้องเด็ก อาณาจักรแห่งการละเล่นและเรียนรู้ ที่คุณพ่อช้างน้อยและคุณแม่กี๋ต่อเติมขึ้นเป็นพิเศษเพื่อทั้งสองคน

ภาพถ่ายแห่งความทรงจำเมื่อครั้งเดินทางไปท่องเที่ยวที่ต่างแดนของครอบครัว

4 ชีวิตของครอบครัวแสนน่ารักในห้องนั่งเล่นอันเป็นมุมโปรดของบ้าน





>> อัปเดตข่าวในแวดวงสังคม กอสซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่  http://www.celeb-online.net และ ติดตาม CelebStagram ได้ที่ http://www.manager.co.th/celebonline/celebstagram/
กำลังโหลดความคิดเห็น