หนุ่มน้อยที่เติบโตขึ้นในครอบครัวสายบันเทิง เจเจ-จุลจักร อำนรรฆมณี ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนวัย 15 ปี ของนักออกแบบท่าเต้นอันดับหนึ่งของเมืองไทย อู๋-เปรมจิตต์ กับ วันจักร อำนรรฆมณี ผู้จัดการคอนเสิร์ตระดับประเทศ ทำให้หนุ่มน้อยเจเจ ขึ้นแท่นเป็นคลื่นลูกใหม่แห่งวงการออกแบบท่าเต้นให้ศิลปินดังไปเรียบร้อยแล้ว และด้วยพรสวรรค์บวกความลุ่มหลงในท่วงท่าและลีลาการเต้น เขาจึงรับหน้าที่สร้างลีลาไหวพลิ้วให้กับเวทีเดอะ มิวสิคัลของวัยทีน ครั้งแรกในเมืองไทย
“ผมเกิดมาในยุคที่คุณพ่อคุณแม่มีงานเยอะ และต้องออกทัวร์คอนเสิร์ตกันบ่อยๆ ตอนนั้นคุณแม่ยังเป็นแดนเซอร์ แต่ผมไม่เคยรู้สึกขาดความอบอุ่นนะ เพราะเราเป็นครอบครัวใหญ่ พอโตขึ้นผมก็มีโอกาสได้ไปทำงานกับคุณพ่อคุณแม่มากขึ้น บางครั้งก็ได้ไปฟังคอนเสิร์ต ดูการทำงานอยู่หลังเวทีกับคุณพ่อ หรือบางทีก็ได้ไปนั่งศึกษาวิธีเต้นและร้องที่ D-Dance School ของคุณแม่ ผมก็เลยได้ซึมซับทั้งด้านดนตรีและการเต้น การแสดงครับ”
ชีวิตแดนเซอร์ของเจเจ เริ่มขึ้นในวัย 7 ขวบ ณ เวทีระดับประเทศอย่างคอนเสิร์ตของ เบิร์ด- ธงชัย ที่สำคัญเขายังช่วยแม่คิดท่าเต้นตามความคิดของเด็กแต่กลับสร้างความฮือฮา กลายเป็นท่าฮิตมากมาย อาทิ ท่าสับหมู ในเพลงโอ้ละหนอ อีกทั้งยังเป็นแดนเซอร์ให้หลายๆ เวที โดยเฉพาะ เวทีคอนเสิร์ตของ เบิร์ด-ธงชัย
นานกว่า 6 ปีที่หนุ่มน้อยเจเจสั่งสมประสบการณ์ในวงการเต้น ด้วยความตั้งใจ ทำให้ท่วงจังหวะในการออกสเต็ปของเขารุดหน้า จนได้เป็นนักเต้น Popping ระดับแถวหน้าของเมืองไทยก็ว่าได้
“หลายคนเข้าใจว่า เพราะผมเป็นลูกแม่ เลยมีโอกาสและเต้นได้ดีกว่าคนอื่นๆ แต่ไม่จริงเลยครับ แม่ไม่เคยสอนผมจริงจัง ตอนเล็กๆ ผมอาศัยเข้าไปนั่งดูพี่ๆ เรียนและฝึกฝนทุกวัน แต่ผมก็เคยคิดนะครับว่า การเต้นมันใช่สำหรับผมไหม เพราะการได้ขึ้นเวทีตอน 7 ขวบ ผมก็เริ่มคิดว่าทำไมต้องมาเต้นท่าเดิมๆ เพลงเดิมๆ และใช้เวลาแสดงเพียง 4 นาที ซึ่งสั้นมากหากเทียบกับช่วงเวลาที่ต้องซ้อม แต่พอได้เต้นจริงๆ บนเวที เมื่อเรามั่นใจ และฝึกซ้อมมาดี เราก็มีความสุข สนุก และภาพที่ออกมา ผู้ชมก็เห็นว่าเรามีความสุข และเราก็มีความสุขจริงๆ”
แม้จะเกิดมาในครอบครัวที่พรั่งพร้อม แต่เจเจกลับไม่ได้ถูกเลี้ยงดูให้รู้จักแต่คำว่า “สำเร็จ” แต่คุณแม่จะสอนให้เขาได้รู้จักคิดและแก้ปัญหาเป็น “แม่เคยให้ผมขึ้นเวทีที่มีคนดูไม่ถึง 20 คน ตอนนั้นรู้สึกผิดหวังครับ แต่ The Show must go on ผมต้องทั้งเต้นและร้องให้เต็มที่ พอกลับเข้ามาหลังเวทีก็ค่อยกลับมานั่งคิดว่า เกิดอะไรขึ้น และเอาความผิดพลาดตรงนั้นมาเป็นประสบการณ์ หาหนทางการแก้ไข
“ค่อนข้างซีเรียสนะครับ ถ้างานออกมาไม่ได้อย่างที่คิด แต่ก็จะเป็นแป๊บเดียว เพราะคิดว่ายิ่งผิดพลาดมากเท่าไหร่ เรายิ่งต้องระวังและรอบคอบมากขึ้น อีกอย่างเวลาที่มานั่งคิดทบทวน ทำให้เรายิ่งมีสมาธิคิดงานใหม่ๆ ออกมาได้เยอะ ทำให้อยากลองโน่นนี่ ช่วยต่อยอดงานใหม่ๆได้มากขึ้น” เจเจพูดถึงที่มาของแรงบันดาลใจในการทำงานชิ้นใหม่
อาจเพราะความช่างคิดที่มีอยู่ในตัวมากมาย ทำให้การออกแบบท่าเต้นที่ทำอยู่ กลายเป็นเรื่องธรรมดาของเขาไปแล้ว เจเจจึงผุดงานใหม่ๆ ออกมาเสนอแม่ของเขา ล่าสุด หนุ่มน้อยคนนี้เตรียมทำละครเพลงเรื่องแรกสำหรับเด็กๆ และวัยรุ่น คือ “พรุ่งนี้” เดอะ มิวสิคัล
“ผมเห็นว่า บ้านเรามีแต่ เดอะ มิวสิคัลสำหรับผู้ใหญ่ ก็เลยอยากลองทำให้เด็กบ้าง นักแสดงก็มีพวกพี่ๆ น้อง ใน D-Dance School ครับ ส่วนเนื้อหาของเรื่องก็จะเป็นเรื่องความฝันของเด็ก โดยเฉพาะ วัยรุ่นอย่างพวกผม (หัวเราะ) ที่ชอบคิดเพื่อค้นหาคำตอบ ซึ่งคำตอบที่ได้มานั้น บางครั้งมันอาจจะโหดร้าย สู้เรายอมถูกหลอกให้อยู่กับโลกที่หลอกลวงแต่มีความสุขไม่ดีกว่าหรือ”
“พรุ่งนี้” เป็นละครที่สะท้อนแนวคิดของคนที่มีความคิดแตกต่างจากกลุ่ม จากเด็กๆ กำพร้าที่ถูกปลูกฝังให้เชื่อว่า ศิลา คือพ่อแม่ของพวกเขาและใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุข โดยการเทิดทูนศิลา แต่มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งในกลุ่ม ที่ต้องการค้นหาคำตอบว่า จริงๆ แล้ว ใครคือพ่อแม่ของพวกเขากันแน่ และคำตอบที่ได้จะเป็นอย่างไรนั้น เจเจ จะเป็นผู้ถ่ายทอด ในฐานะเด็กหนุ่มตัวร้ายที่กล้าคิดต่างจากเพื่อนๆ ด้วยลีลาการร้องและท่าเต้น Popping ที่เขาถนัด
“ผมชอบงานศิลปะครับ ตั้งใจในชีวิตเลยว่า จะเป็นผู้รอบรู้เรื่องศิลปะในหลายๆ แบบ ทั้ง Fine Art และศิลปะการแสดง” เจเจกล่าวอย่างมุ่งมั่น
ความตั้งใจของเจนเนอเรชั่นที่ 2 ของตำนานนักเต้นของไทย ที่จะถ่ายทอดออกมาเป็น “พรุ่งนี้” เดอะ มิวสิคัล เรื่องแรกของวัยทีน จะเป็นอย่างไร ? ต้องจับตา พร้อมเปิดใจให้เด็กไทยคนนี้