xs
xsm
sm
md
lg

ฟ้องเมียเก่าเรียกเงินจากขุมทรัพย์ “รองเท้าแบรนด์ดัง”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เป็นข่าวเกรียวกราวไปทั่วโลก เมื่อผู้จัดการกองทุนนิวยอร์ก Daniel Shak (แดเนียล แฌ็ค) ฟ้องเรียกเงินจากเมียที่หย่ากันไปแล้ว โดยอ้างว่าเพิ่งรู้ความจริงว่า อดีตภรรยา Beth Shak (เบ็ธ แฌ็ค) ซึ่งเป็นนักเล่นโปกเกอร์ตัวกลั่น ปิดบังเรื่องที่เธอมีรองเท้าแบรนด์ดังในครอบครองถึง 1,200 คู่ ทั้ง Manolo Blahnik (มาโนโล บลาห์นิค) Jimmy Choo (จิมมี่ ชู) และ Christian Louboutin (คริสติออง ลูบูแต็ง) อุแม่เจ้า !
เมื่อครั้งที่ยังอยู่ร่วมกันฉันท์สามีภรรยา ในอพาร์ตเม้นต์บนถนนสายที่ 5 มูลค่า 7 ล้านดอลลาร์ในนิวยอร์กนั้น เขาไม่เคยรู้เลยว่า อดีตภรรยามีห้องลับที่ซ่อนรองเท้าราคาแพงลิบลิ่วถึงพันกว่าคู่ แต่เขาเพิ่งมารู้ความจิรงจากรายการทีวี MTV’s และ Today Show ที่ไปเจาะชีวิตอดีตภรรยาของเขา
นอกจากนั้น อดีตภรรยาก็ยังได้โพสต์ทั้งรูปและข้อความ เพื่ออวดเรื่องของรองเท้าจำนวนมหาศาลของเธออีกด้วย หนำซ้ำเธอยังออกอาการด้วยการเปิดเว็บไซต์ Shoe R Forever อันเป็นเว็บไซต์ส่วนตัวที่แสดงถึงอาการคลั่งรองเท้าแบรนด์สุดแพงนี้ โดยเธอบรรยายและอวดภาพรองเท้าคู่หวงต่างๆ ที่เป็นเจ้าของอยู่ ซ้ำร้ายเธอยังสักลายบนตัวเป็นรูปรองเท้าของเธออีกด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่บอกถึงอาการผิดปกติเอามาก ๆ

ด้านแดเนียลแถลงต่อศาลว่า ที่เขาไม่เคยเฉลียวใจจะเข้าไปในห้องแต่งตัวของอดีตภรรยาเลยแม้แต่ครั้งเดียว ก็เพราะเชื่อใจในกันและกัน แต่เมื่อเขาทราบถึงความลับในตู้เสื้อผ้าของอดีตภรรยาอย่างนี้แล้ว ก็แสดงความเป็น ”แมนมาก ๆ“ ด้วยการร้องสิทธิ์ขอมีส่วนในรองเท้าทั้งหมดประมาณ 35 % จากมูลค่าของรองเท้าจำนวนดังกล่าว ที่คาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 1 ล้านดอลลาร์
และสาเหตุที่เขาออกมาฟ้องเรียกเงินส่วนแบ่งจากอดีตภรรยาในครั้งนี้ แหล่งข่าวกระซิบว่านายแดเนียลน่าจะถังแตกเพราะปีที่ผ่านมาเขา “เจ๊ง” จากการค้าขายทองคำไปไม่น้อยนั่นเอง
ใครที่เคยดูภาพยนตร์เรื่อง Sex and the City ที่มี Carrie Bradshaw แสดงนำ ซึ่งเป็นเรื่องที่จุดประกายให้ผู้หญิงทั้งโลก ลุกขึ้นบ้าคลั่งรองเท้าสุดสวยกันโดยถ้วนหน้า โดยเฉพาะ รองเท้าแบรนด์ที่สาวคนไหนไม่มีไว้ในตู้แล้ว ต้องออกอาการนอนไม่หลับกระสับกระส่าย ด้วยความอยากได้มาสวมใส่สักคู่ นั่นก็คือ รองเท้าส้นสูงของสามแบรนด์ที่ดังที่สุดในโลก อันได้แก่ Manolo Blahnik (มาโนโลบลาห์นิค) Jimmy Choo (จิมมี่ ชู) และ Christian Louboutin (คริสติออง ลูบูแต็ง) นั่นเอง
ถ้าได้ยินราคาของรองเท้าทั้ง 3 แบรนด์นี้แล้วหลายคนอาจขนหัวลุก เพราะคู่ทุ่ดแสนจะธรรมดาๆ ใส่เล่นๆ ก็ราคาปาเข้าไปเหยียบ1,000 ยูโร หรือคู่ละสี่หมื่นบาทเป็นอย่างต่ำ ถ้าคุณจ่ายเงินเท่านี้จะได้เป็นเจ้าของรองเท้าแบบพื้นๆ ที่วางเรียงขายบนชั้น ไม่ใช่ที่วางเด่นเป็นสง่าอยู่เพียงคู่เดียวในตู้โชว์หน้าร้าน เพราะรองเท้าประเภทนั้นจะถูกผลิตขึ้นมาไม่กี่คู่ที่เรียกว่า Limited Edition หรือภาษาชาวบ้านบอกว่าไม่ใช่รองเท้าโหลที่เดินตามท้องถนนแล้วจะเจอคู่แฝด และรองเท้าพวกคู่เดียวที่วางโชว์ในตู้นั้น แน่นอนว่าราคาจะพุ่งกระฉูดขึ้นไปเกือบสองหรือสามเท่าทีเดียว

สำหรับสาเหตุที่ทำให้ชื่อเสียงของรองเท้าทั้ง 3 แบรนด์นี้ ดังเป็นพลุแตก ก็เพราะบรรดาดารายอดนิยม ตลอดจนเมียมหาเศรษฐีและสาวเซเลบตั้งแต่ นิวยอร์ก เบเวอรี่ฮิลส์ ปารีส มิลาน ลอนดอน โตเกียว จนถึง กรุงเทพมหานครนี้ ล้วนแต่ต้องมีประดับบารมีอยู่ในตู้เก็บด้วยกันทั้งนั้น และถ้าฐานะรวยจริงแล้วจะต้องมีเก็บใช่เพียงคู่เดียวอีกต่างหาก และที่สำคัญคือ รองเท้าสวยๆ เหล่านี้ เชื่อใจได้ว่าไม่มีของ “ก๊อป” ให้เห็นอย่างเด็ดขาด คนคลั่งรองเท้าทั้ง 3 แบรนด์นี้ มองปุ๊บเป็นรู้ปั๊บว่าของแบรนด์อะไร โดยไม่ต้องไปขอพลิกป้ายดูให้เสียเวลา
โดยเฉพาะของ Christian Louboutin นั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะที่ไม่เหมือนใคร นั่นคือเป็นรองเท้าที่ส้นสูงจัด เรียวแหลมแลดูบอบบางที่สุด ช่วยให้เรียวขาของผู้สวมใส่แลดูเรียวยาว และยังมีส่วนที่ช่วยเสริมความสูงของผู้ใส่ให้สูงยิ่งขึ้นอีกด้วยมีแพลทฟอร์มหรือ”เล่าเต๊ง”อันเป็นช่วงที่รองรับฝ่าเท้าได้อีกอย่างน้อย 5-7 เซนติเมตร และยังเจียนให้แลดูบอบบางไม่เทอะทะ มองปั๊บก็รู้ว่านี่คืองานของรองเท้าแบรนด์นี้ที่ไม่มีใครเหมือน และจากเทคนิคนี้ ย่อมหมายความว่าจะช่วยเสริมความสูงของผู้ใส่ขึ้นไปได้อีกอย่างน้อย15 เชนติเมตร จึงทำให้รองเท้าแบรนด์นี้ครองใจสาวทั้งหลายที่ค่อนข้างจะสูงน้อยและขาสั้น ให้แลดูเป็นสาวร่างสูงเรียวขายาวได้
แต่ข้อจำกัดของรองเท้าที่สูงแบบเขย่งส้นนี้ ก็คือไม่อาจใส่ขับรถยนต์ได้เพราะอุปสรรคเกิดจากส้นที่สูงจนเกินไป ครั้นจะสวมรองเท้าส้นเตี้ยขณะขับรถและมาเปลี่ยนใส่คู่สวยเมื่อเวลาที่จะลงจากรถก็ใช่ที่ เพราะนั่นหมายความว่าคนใส่ไม่รวยจริงต้องขับรถเอง เพราะคนรวยจริงจะต้องมาด้วย”ลิโม่”ที่มีสารถีจอดเทียบให้ถึงที่

เวลาที่สวมใส่รองเท้าแบบนี้แล้ว ต้องได้อวดเต็มที่แต่ก็มีข้อจำกัดที่ตามมาก็คือ เวลาที่ใส่อวดนั้นผู้สวมจะยืนได้ไม่นานนัก เพราะจะเมื่อยจนหน้านิ่วและจะเริ่มทรงกายไม่อยู่เพราะจะเดินโคลงไปมา ซึ่งอาจถึงอาการ “ตกส้นสูง”ได้ ดีไม่ดีอาจให้ถึงบาดเจ็บเพราะข้อเท้าแพลงหากล้มลง นั่นหมายความว่าหากจะสวมรองเท้าทรงนี้ออกงานแล้ว ต้องมีใครสักคนให้ช่วยประคองหรือพยุงไว้ไม่ให้ล้มง่ายๆ
สิ่งที่รบกวนจิตใจของผู้ที่เป็นเจ้าของรองเท้าสุดสวยนั้น ก็คือหากเมื่อใครได้เริ่มเป็นเจ้าของรองเท้านี้แล้ว ก็จะเกิดอาการครั่นเนื้อครั่นตัวอยากจะเป็นเจ้าของคู่ที่สอง ที่สาม และต่อไปอีกเรื่อยๆ จนหักห้ามใจตนเองไม่ได้ กลายเป็นเสพย์ติดรองเท้านี้ในที่สุด และยิ่งหากมีเพื่อนที่ได้คุยกันอย่างถูกคอแล้ว อาการนี้จะกำเริบติดต่อไปยังเพื่อนสนทนาได้อีกด้วย
จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ผู้หญิงอย่าง เบ็ธ แฌ็ค นั้น ไม่ได้มีเพียงเธอคนเดียว ไม่เชื่อคุณผู้ชายที่อ่านเรื่องนี้แล้ว ลองกลับไปดูในตู้รองเท้าของคนข้างกายของคุณดู... แล้วคุณจะหนาว
กำลังโหลดความคิดเห็น