หากใครเป็นขาประจำชอบเดินเที่ยว เดินช้อป และร่วมงานอีเว้นท์ ที่สยามพารากอน หรือ ดิ เอ็มโพเรี่ยมบ่อยครั้ง คงคุ้นหน้ากันเป็นอย่างดีกับเซเลบสาวคนนี้ คุณติ๊ก-วิลาสินี พรประเสริฐถาวร เวิร์กกิ้งวูเมนคนเก่ง ที่ถือเป็นกำลังสำคัญ ทำงานด้านประชาสัมพันธ์ดูแลภาพลักษณ์องค์กร - ร่วมสร้างสรรค์งานอีเว้นท์เก๋ๆ ให้ห้างสรรพสินค้าทั้งสองแห่งนี้ และไม่เพียงแต่จะดูแลงานด้านงานประชาสัมพันธ์ให้กับห้างหรู สาวคนนี้เธอยังควบตำแหน่งเป็นเจ้าของกิจการนำเข้าจักรเย็บผ้าจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่สืบทอดมาจากครอบครัวอีกต่างหาก
ทำงานหลายด้านขนาดนี้ แต่เจอกี่ที ก็ยังเห็นเธอยิ้มแย้ม ทำงานคล่องแคล่วราวกับไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย! แว่วมาว่า คุณติ๊กเธอได้กำลังใจดีๆ มาจากครอบครัวที่อบอุ่น และลูกๆ ที่น่ารักน่าชังของเธอ จะจริงเท็จประการใด....มาล้วงลึกเบื้องหลังพลังใจในการทำงาน ของสาวคนนี้ไปพร้อมๆ กันเลยดีกว่า ^_^
คุณวิลาสินีเล่าว่า เธอตกลงปลงใจมีครอบครัวค่อนข้างเร็ว แต่ตัวเธอก็มิได้รู้สึกเสียดายชีวิตโสด หรือคิดว่าการมีลูกเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าในการงาน ทว่าเธอกลับรู้สึกโชคดี เพราะมันทำให้ชีวิตของเธอในวันนี้ลงตัวเป็นที่สุด
“ติ๊กแต่งงานไวมากค่ะ เรียนจบปุ๊บแต่งเลย ตอนนั้นอายุประมาณ 24 ปี เพราะคบกับแฟนมาเรื่อยๆ แล้ว และเขาก็ไปคุยกับคุณพ่อคุณแม่ตั้งแต่ติ๊กยังเรียนไม่จบเลย ว่าจองไว้ก่อนเลยนะ พอเรียนจบก็แต่งเลย เพราะคุณพ่อคุณแม่ก็เห็นว่าคบกันมานานแล้ว ซึ่งติ๊กคิดว่าการแต่งงานเร็วมันดีสำหรับติ๊กนะคะ เพราะอย่างตัวติ๊กเองทุกวันนี้ ทุกอย่างมันลงตัวหมดแล้ว บางคนมีลูกตอนอายุเยอะ ติ๊กว่า หนึ่งเลยอาจเจอปัญหาเรื่องสุขภาพ สองหน้าที่การงานอาจติดขัด คือ เขาอาจจะต้องหยุดงานเพื่อที่จะมาดูแลลูก หรือบางคนอาจต้องออกจากงานไปเลย แต่ของติ๊กมันลงตัวไปหมด คือ ลูกโตแล้วเข้าโรงเรียนแล้ว พอทุกอย่างลงตัวแบบนี้ เราก็ลุยงานได้เต็มที่”
ทุ่มเททำงาน....เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีให้ “ลูก”
ปัจจุบันคุณติ๊กมีตำแหน่งเป็น Social Relations Manager ทำหน้าที่ดูแลรักษาภาพลักษณ์ขององค์กร ให้กับห้างสรรพสินค้าชื่อดังอย่าง ดิ เอ็มโพเรียม และ สยามพารากอน มากว่า 2 ปีแล้ว แถมเธอยังต้องดูแลกิจการนำเข้าจักรเย็บผ้า แบรนด์เบอร์นินา จากสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นกิจการของครอบครัว อีกด้วย
ด้วยความที่มีกิจการเป็นของตัวเองนั้น ในความเป็นจริง เธอสามารถเลือกที่จะอยู่บ้านดูแลกิจการครอบครัว หรือจะเลี้ยงลูกอย่างเดียวก็คงได้ แต่คุณแม่ยังสาวคนนี้ กลับเลือกที่จะยอมเหนื่อย ออกมาทำงานนอกบ้าน ควบคู่ไปกับการบริหารกิจการของครอบครัว และเลี้ยงดูลูกไปด้วยในเวลาเดียวกัน ก็ด้วยเหตุผลที่ว่า อยากให้ลูกๆ ได้เห็นว่า ….คนเราต้องขยันทำงาน!
“บางคนคิดว่าแต่งงานไปแล้ว อยากจะเลี้ยงลูกอย่างเดียว แต่สำหรับติ๊กไม่ค่ะ เพราะติ๊กรู้สึกว่า ติ๊กอยากจะให้ลูกเขาเห็นด้วย ว่าพ่อแม่ทำงานนะ ไม่ใช่แบบวันๆ ไปช้อปปิ้ง ไปซื้อของเข้าบ้านอย่างเดียว ติ๊กอยากจะให้เขารู้ว่า พ่อแม่ออกมาทำงาน พ่อแม่ออกมาหาเงิน เงินหายากนะ พ่อแม่เหนื่อยนะกว่าจะได้เงินมา เพราะฉะนั้นตอนนี้ หน้าที่ของคุณคือ เรียนหนังสือก็ต้องตั้งใจเรียน ถ้าเกิดเรียนดีให้ดีๆ ตั้งใจเรียน โตขึ้นมาก็จะมีหน้าที่การงานที่ดี จะได้ไม่ต้องเหนื่อย ไม่ต้องลำบากมาก ก็พยายามจะบอกเขาตลอด ทุกครั้งเวลาเขาเห็นเราออกมาข้างนอก เขาถามเราว่าไปไหน เราก็จะบอกว่าเราต้องไปทำงาน คนเราทุกคนต้องทำงาน
นอกจากนี้ ตัวติ๊กเองก็อยากจะเรียนรู้อะไรเพิ่มจากภายนอกครอบครัวตัวเองด้วย นั่นคือ อยากจะออกมาเรียนรู้งานข้างนอก ว่าเขามีการติดต่อสื่อสารกันอย่างไร ทำงานกันอย่างไร ประชาสัมพันธ์อย่างไร เพื่อสร้างคอนเน็คชั่น (connection) เพิ่มด้วย เพื่อจะมาเรียนรู้งานด้วย ซึ่งในอนาคตติ๊กวางแผนด้วยว่า ถ้าเป็นไปได้ก็อยากขยายธุรกิจของครอบครัวที่มีอยู่ และอาจจะทำธุรกิจของตัวเองเพิ่มเติมขึ้นมาด้วย”
เต็มที่กับงาน เต็มร้อยกับครอบครัว
คุณติ๊กวัย 33 ปีในวันนี้ เธอมีลูกชายชื่อน่ารักน่าชังว่า “สเปน” และ “เจแปน” (วัย 7 ขวบและ 5 ขวบ) ซึ่งแม้ต้องทำงานทุกวันจันทร์-ศุกร์อย่างนี้ แต่หลังเลิกงาน และทุกวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ เธอก็เลือกที่จะให้เวลากับลูกชายวัยกำลังซนของเธออย่างเต็มที่
“วันทำงาน เราก็จะทำงานให้เต็มที่ ทำให้ดีที่สุดตามหน้าที่ของเรา แต่วันเสาร์-อาทิตย์ ติ๊กจะให้เวลากับครอบครัวเต็มที่ 100% เลย ทุกคนจะรู้ว่า วันหยุดไม่ต้องชวนติ๊กไปไหนนะ เพราะติ๊กไม่สามารถจะออกไปไหนได้ อย่างวันธรรมดา ถ้าติ๊กกลับบ้านเร็วได้ ไม่มีงานอีเว้นท์อะไร ก็จะรีบกลับไปอยู่กับครอบครัว แต่ถ้าเป็นวันเสาร์-อาทิตย์ จะขอทุกๆ คนว่าอย่านัดเลย หรือถ้าจำเป็นต้องออกมาจริงๆ อย่างวันเกิดเพื่อน หรือต้องออกไปจริงๆ ก็จะขอว่า เดี๋ยวติ๊กตามไปหลัง 2 ทุ่มนะ ให้ลูกๆ หลับกันก่อน เพื่อนก็จะเข้าใจ เพราะเรามีครอบครัวแล้ว
ส่วนสามี เขาก็จะไม่ไปไหนเหมือนกัน เราพยายามให้เวลากับลูกเต็มที่ เราตกลงกันไว้แล้วว่า เสาร์- อาทิตย์ เราต้องไม่ไปไหนกันนะ เราต้องให้เวลากับลูกเต็มที่ ให้มีเวลาไปไหนมาไหนด้วยกันบ้าง หรืออย่างวันหยุดยาวเราก็จะไปต่างจังหวัดด้วยกันตลอด” เธอเล่าถึงการแบ่งเวลา ที่พยายามทุ่มเทให้สมดุล ทั้งชีวิตงาน และชีวิตครอบครัว”
ลูก = หัวใจ
“สำหรับติ๊กลูกเป็นทุกอย่างในชีวิตเลย เวลาติ๊กเหนื่อย หรือไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไรที่ทำให้ไม่สบายใจ ความท้อแท้ใจ พอเรากลับไปบ้าน เราได้อยู่กับเขา ได้เล่นกับเขา มันทำให้เรารู้สึกว่า ปัญหาที่เราเจอน่ะ ไม่เป็นไร....เราไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว เพราะเราอยู่กับเขาแล้วเรามีความสุข
ส่วนคำโบราณที่ว่ามีลูก 1 คน จนไป 10 ปี ถามว่าจริงมั้ย ตอบเลยว่าจริง (หัวเราะ) แต่ติ๊กไม่คิดว่าเขาเป็นภาระนะคะ ติ๊กคิดว่า เขาเป็นทุกอย่าง เป็นกำลังใจ เป็นเหมือนหัวใจของเรา ทำให้เราพร้อมที่จะเดินต่อไป ติ๊กบอกตรงๆ ว่าถ้าติ๊กไม่มีลูก ติ๊กคงไม่ต้องคิดถึงโปรเจ็กต์ (project) หน้า ทุกวันนี้ที่ติ๊กอยากจะทำอะไรเพิ่ม ทำโน่น ทำนี่เพิ่ม ทั้งหมดที่คิดอยากจะทำ ก็เพราะครอบครัว เพราะลูก เขาทำให้เรากลายเป็นคนแอคทีฟ (active) ไม่อยู่นิ่งๆ เนือยๆ ซึ่งเมื่อก่อน สมัยเรียนติ๊กจะเป็นคนเอื่อยเฉื่อยมาก แต่พอมีลูกปุ๊บ เปลี่ยนเลย ลูกทำให้ชีวิตติ๊กดีขึ้น ทำให้เรามีพลังชีวิต”
ทั้งที่ทุกวันนี้คุณติ๊กเธอว่า มุมานะทำงาน สร้างอนาคตต่างๆ ก็เพราะลูก แต่เมื่อถามว่า สาเหตุที่อยากทำธุรกิจใหม่ๆ ก็เพื่อที่จะสร้างไว้ให้ลูกชายทั้งสองหรือ? เธอกลับปฏิเสธทันควัน
“ไม่เลยค่ะ เพราะติ๊กอยากจะให้เขาทำด้วยตัวเขาเองมากกว่า ถามว่า ถ้าเขาอยากจะกลับมาต่อยอดงานที่เราสร้างไว้ได้มั้ย ก็ได้นะ แต่ใจจริง ติ๊กอยากให้เขาทำของเขาเองก่อน เพราะติ๊กเห็นหลายครอบครัวที่มีธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่ลูกๆ ก็ยังออกมาทำงานข้างนอกเลย หรืออย่างคุณพ่อ คุณแม่ติ๊ก ก็อยากให้ลูกได้ออกมาหาประสบการณ์ข้างนอก เพื่อที่จะนำกลับมาพัฒนาธุรกิจตัวเองให้ดีขึ้นไป ไม่ใช่อยู่ดีๆ คุณจะมาเป็นนายคนเลย คุณก็ต้องเป็นลูกน้องมาก่อน เรียนรู้งานก่อน”
ดูแลตัวเอง ในเวลาอันจำกัด
ก็เห็นทั้งทำงาน เลี้ยงลูก...เต็มร้อยทุกอย่างขนาดนี้ แต่คุณแม่ติ๊ก ก็ยังหน้าใส ผิวสวย ดูดีตลอดเวลา เราเลยอดไม่ได้ที่จะถามไถ่ ว่าเอาเวลาไหนไปดูแลตัวเอง ให้สวยเป๊ะ หุ่นเซี๊ยะ ถึงขั้นเคยถ่ายบิกินี่ อวดโฉมในนิตยสารดังมาแล้ว
“ติ๊กจะเน้นออกกำลังกายค่ะ อาจจะต่างจากคนอื่นที่เขาออกตอนเช้า ตอนเย็น แต่ของติ๊กจะต้องออกหลังลูกๆ เข้านอน หรือไม่ก็ไปออกกำลังกายพร้อมลูก คือถ้าวันไหนติ๊กไม่มีอีเว้นท์ ติ๊กกลับบ้านเร็ว ส่งลูกเข้านอนไว ติ๊กจะใช้เวลา หลัง 2 ทุ่ม ออกกำลังกาย จะมีเครื่องออกกำลังกายที่บ้าน หรือเสาร์-อาทิตย์ ก็จะไปว่ายน้ำกับลูกๆ ในหมู่บ้าน อาทิตย์นึง ติ๊กจะพยายามทำให้ได้ อย่างน้อย 2-3 วัน เพราะถ้าไม่ออกกำลังกายเลย ติ๊กจะอึดอัด
ส่วนการดูแลผิวพรรณ ติ๊กจะแค่นวดหน้า ไม่ได้ทำเลเซอร์ (Laser) หรือไปฉีดอะไร ส่วนใหญ่ติ๊กจะทำเองที่บ้านพอถึงวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ เอาแล้ว อยู่ในห้องน้ำเป็นชั่วโมงเลย สครับหน้า, มาร์คหน้า ที่บ้านจะมีมาร์คเต็มไปหมด เพราะติ๊กรู้สึกว่า ทำเองก็เวิร์คนะ ส่วนผิวตัวก็เข้าสปาบ้าง ประมาณสัก 2 อาทิตย์/ครั้ง เพราะบางทีพอเราอายุมากขึ้น การเผาผลาญก็ไม่ได้ดีเหมือนเดิม ก็อาจจะต้องใช้การนวดบ้าง เพื่อให้ระบบร่างกายเราหมุนเวียนได้ดี ไม่เป็นผิวเปลือกส้ม เราก็จะหาเวลาช่วงว่าง อย่างเช่น เสาร์-อาทิตย์ ไปส่งลูกเรียนเตะบอล เรียนปั้น พอลูกเข้าไปเรียน ติ๊กก็จะแว้บได้ สัก 1 ชั่วโมง เอาเวลาตรงนั้นแหละไปนวดหน้า ไปทำสปา” เธอยิ้มตอบ
ส่วนเคล็ดลับสำคัญที่ทำให้ใครต่อใครเจอก็ต้องทักว่าหน้าเด็กนั้น คุณติ๊กเธอว่า อยู่ที่ความพยายาม จัดการกับความเครียดของตัวเองค่ะ
“คนเราจะบอกว่าไม่เครียดเลย มันก็คงเป็นไปไม่ได้ แต่ติ๊กก็จะพยายามเครียดให้น้อยที่สุด ปล่อยวางให้มากที่สุด บางทีมีเรื่องนู้น เรื่องนี้มากระทบ เราก็จะคิดอะไรให้มันจบไป ไม่กลับมาคิดจดจ่อกับมันนาน เพราะทุกอย่างมันอยู่ที่ความคิดของเราทั้งหมดเลย ว่าเราจะคิดให้มันเป็นอย่างไร คิดว่าแย่จังเลย... ทำไมต้องมาเจอแบบนี้... ทำไมต้องเป็นแบบนี้... เราก็จะยิ่งจมลึก แต่ถ้าคิดว่า ที่เป็นอย่างนี้เพราะอย่างนี้ ช่างมันเถอะ ไม่ต้องไปสนใจ แคร์แค่คนใกล้ๆ ตัวก็พอแล้ว
หรือเรื่องงาน หากทำบางงานไม่เวิร์ค ก็ไม่เป็นไร เราทำไม่ดี งานหน้าก็ทำให้ดีกว่านี้แล้วกัน พยายามปัด ๆทิ้งๆ มันไป พูดกับตัวเอง ใช้วิธีตัวเองเตือนตัวเอง บางทีก็มีอ่านหนังสือธรรมะบ้าง ติ๊กคิดว่ามันช่วยได้นะ มีบางช่วงติ๊กเครียดมากๆ อ่านหนังสือธรรมมะแล้วก็คิดได้ว่า เราต้องปล่อยวาง”
แม้ใครๆ จะมองว่า ชีวิตเธอทุกวันนี้แสนจะลงตัว มีทั้งครอบครัวที่อบอุ่น งานการที่ก้าวหน้ามั่นคง หลายคน คงคิดว่าเธอวางแผนมาดี แต่สาวคนนี้เธอว่าทุกอย่างไม่ได้วางแผนอะไรเล้ย...
“ติ๊กไม่ได้มีการวางแผน หรือมีแบบแผน อะไรตายตัว ในการดำเนินชีวิต ติ๊กคิดว่าทุกอย่างถูกกำหนดมาแล้ว ให้โครงสร้างชีวิตเราเป็นแบบนี้ ติ๊กคิดว่ามันคือจังหวะ พอถึงช่วงชีวิตนี้มันเป็นแบบนี้ เราก็บริหารเวลา บริหารจังหวะชีวิตที่เราได้รับมาให้ดีที่สุด และเราก็มองอนาคตอันใกล้ ไม่ต้องมองไกลมาก วางแผนว่า เราจะต้องทำอะไรต่อไปบ้าง แต่สำหรับลูกเราก็อาจจะต้องวางแผนไกลนิดนึง ว่าจะให้เขาเรียนอะไรที่ไหนบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับบังคับหรือกะเกณฑ์มากนัก ติ๊กค่อนข้างเลี้ยงลูกตามธรรมชาตินะคะ คือเขาชอบอะไรก็จะตามใจ อย่างเรื่องการเรียน จะคุยกันก่อนว่าเขาอยากจะเรียนมั้ย ถ้าอยากก็ลองไปเรียนดู ถ้าชอบก็เรียนต่อ ไม่ชอบก็หยุด ติ๊กเลี้ยงลูกเหมือนกับที่คุณพ่อ คุณแม่เลี้ยงติ๊กมา คือท่านไม่เคยบังคับเรา ชอบอะไร อยากเรียนอะไร ท่านก็ให้เราได้เรียน ได้ลองทำสิ่งใหม่ๆ ที่เราอยากทำอย่างเต็มที่”
และหลักคิดที่ว่า ชีวิตไม่แน่นอน ขอแค่ทำปัจจุบันให้ดีที่สุดนี้ ก็คือหลักการในการดำเนินชีวิตของ “ติ๊ก วิลาสินี พรประเสิรฐถาวร” ในทุกๆ เรื่อง
“สำหรับติ๊กไม่ว่าจะเป็นชีวิตการทำงาน หรือชีวิตครอบครัว ติ๊กไม่ได้วางแผนหรือกะเกณฑ์ทุกอย่างไว้ว่าต้องเป็นแบบไหน ติ๊กแค่ทำทุกอย่างเต็มที่ให้มากที่สุด ผลออกมามันอาจจะมีทั้งคนชอบ และคนไม่ชอบก็ไม่เป็นไร แค่ติ๊กรู้สึกว่าทำเต็มที่แล้วก็โอเค เพราะเราจะไม่ต้องมานั่งเสียใจภายหลัง เพราะเรารู้ตัวอยู่ตลอดว่าที่ผ่านมาเราทำทุกอย่างเต็มที่แล้ว ทุ่มสุดตัวแล้วจริงๆ”
เรื่องโดย Lady Manager
ภาพโดย ศิวกร เสนสอน
>> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net
ทำงานหลายด้านขนาดนี้ แต่เจอกี่ที ก็ยังเห็นเธอยิ้มแย้ม ทำงานคล่องแคล่วราวกับไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย! แว่วมาว่า คุณติ๊กเธอได้กำลังใจดีๆ มาจากครอบครัวที่อบอุ่น และลูกๆ ที่น่ารักน่าชังของเธอ จะจริงเท็จประการใด....มาล้วงลึกเบื้องหลังพลังใจในการทำงาน ของสาวคนนี้ไปพร้อมๆ กันเลยดีกว่า ^_^
คุณวิลาสินีเล่าว่า เธอตกลงปลงใจมีครอบครัวค่อนข้างเร็ว แต่ตัวเธอก็มิได้รู้สึกเสียดายชีวิตโสด หรือคิดว่าการมีลูกเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าในการงาน ทว่าเธอกลับรู้สึกโชคดี เพราะมันทำให้ชีวิตของเธอในวันนี้ลงตัวเป็นที่สุด
“ติ๊กแต่งงานไวมากค่ะ เรียนจบปุ๊บแต่งเลย ตอนนั้นอายุประมาณ 24 ปี เพราะคบกับแฟนมาเรื่อยๆ แล้ว และเขาก็ไปคุยกับคุณพ่อคุณแม่ตั้งแต่ติ๊กยังเรียนไม่จบเลย ว่าจองไว้ก่อนเลยนะ พอเรียนจบก็แต่งเลย เพราะคุณพ่อคุณแม่ก็เห็นว่าคบกันมานานแล้ว ซึ่งติ๊กคิดว่าการแต่งงานเร็วมันดีสำหรับติ๊กนะคะ เพราะอย่างตัวติ๊กเองทุกวันนี้ ทุกอย่างมันลงตัวหมดแล้ว บางคนมีลูกตอนอายุเยอะ ติ๊กว่า หนึ่งเลยอาจเจอปัญหาเรื่องสุขภาพ สองหน้าที่การงานอาจติดขัด คือ เขาอาจจะต้องหยุดงานเพื่อที่จะมาดูแลลูก หรือบางคนอาจต้องออกจากงานไปเลย แต่ของติ๊กมันลงตัวไปหมด คือ ลูกโตแล้วเข้าโรงเรียนแล้ว พอทุกอย่างลงตัวแบบนี้ เราก็ลุยงานได้เต็มที่”
ทุ่มเททำงาน....เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีให้ “ลูก”
ปัจจุบันคุณติ๊กมีตำแหน่งเป็น Social Relations Manager ทำหน้าที่ดูแลรักษาภาพลักษณ์ขององค์กร ให้กับห้างสรรพสินค้าชื่อดังอย่าง ดิ เอ็มโพเรียม และ สยามพารากอน มากว่า 2 ปีแล้ว แถมเธอยังต้องดูแลกิจการนำเข้าจักรเย็บผ้า แบรนด์เบอร์นินา จากสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นกิจการของครอบครัว อีกด้วย
ด้วยความที่มีกิจการเป็นของตัวเองนั้น ในความเป็นจริง เธอสามารถเลือกที่จะอยู่บ้านดูแลกิจการครอบครัว หรือจะเลี้ยงลูกอย่างเดียวก็คงได้ แต่คุณแม่ยังสาวคนนี้ กลับเลือกที่จะยอมเหนื่อย ออกมาทำงานนอกบ้าน ควบคู่ไปกับการบริหารกิจการของครอบครัว และเลี้ยงดูลูกไปด้วยในเวลาเดียวกัน ก็ด้วยเหตุผลที่ว่า อยากให้ลูกๆ ได้เห็นว่า ….คนเราต้องขยันทำงาน!
“บางคนคิดว่าแต่งงานไปแล้ว อยากจะเลี้ยงลูกอย่างเดียว แต่สำหรับติ๊กไม่ค่ะ เพราะติ๊กรู้สึกว่า ติ๊กอยากจะให้ลูกเขาเห็นด้วย ว่าพ่อแม่ทำงานนะ ไม่ใช่แบบวันๆ ไปช้อปปิ้ง ไปซื้อของเข้าบ้านอย่างเดียว ติ๊กอยากจะให้เขารู้ว่า พ่อแม่ออกมาทำงาน พ่อแม่ออกมาหาเงิน เงินหายากนะ พ่อแม่เหนื่อยนะกว่าจะได้เงินมา เพราะฉะนั้นตอนนี้ หน้าที่ของคุณคือ เรียนหนังสือก็ต้องตั้งใจเรียน ถ้าเกิดเรียนดีให้ดีๆ ตั้งใจเรียน โตขึ้นมาก็จะมีหน้าที่การงานที่ดี จะได้ไม่ต้องเหนื่อย ไม่ต้องลำบากมาก ก็พยายามจะบอกเขาตลอด ทุกครั้งเวลาเขาเห็นเราออกมาข้างนอก เขาถามเราว่าไปไหน เราก็จะบอกว่าเราต้องไปทำงาน คนเราทุกคนต้องทำงาน
นอกจากนี้ ตัวติ๊กเองก็อยากจะเรียนรู้อะไรเพิ่มจากภายนอกครอบครัวตัวเองด้วย นั่นคือ อยากจะออกมาเรียนรู้งานข้างนอก ว่าเขามีการติดต่อสื่อสารกันอย่างไร ทำงานกันอย่างไร ประชาสัมพันธ์อย่างไร เพื่อสร้างคอนเน็คชั่น (connection) เพิ่มด้วย เพื่อจะมาเรียนรู้งานด้วย ซึ่งในอนาคตติ๊กวางแผนด้วยว่า ถ้าเป็นไปได้ก็อยากขยายธุรกิจของครอบครัวที่มีอยู่ และอาจจะทำธุรกิจของตัวเองเพิ่มเติมขึ้นมาด้วย”
เต็มที่กับงาน เต็มร้อยกับครอบครัว
คุณติ๊กวัย 33 ปีในวันนี้ เธอมีลูกชายชื่อน่ารักน่าชังว่า “สเปน” และ “เจแปน” (วัย 7 ขวบและ 5 ขวบ) ซึ่งแม้ต้องทำงานทุกวันจันทร์-ศุกร์อย่างนี้ แต่หลังเลิกงาน และทุกวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ เธอก็เลือกที่จะให้เวลากับลูกชายวัยกำลังซนของเธออย่างเต็มที่
“วันทำงาน เราก็จะทำงานให้เต็มที่ ทำให้ดีที่สุดตามหน้าที่ของเรา แต่วันเสาร์-อาทิตย์ ติ๊กจะให้เวลากับครอบครัวเต็มที่ 100% เลย ทุกคนจะรู้ว่า วันหยุดไม่ต้องชวนติ๊กไปไหนนะ เพราะติ๊กไม่สามารถจะออกไปไหนได้ อย่างวันธรรมดา ถ้าติ๊กกลับบ้านเร็วได้ ไม่มีงานอีเว้นท์อะไร ก็จะรีบกลับไปอยู่กับครอบครัว แต่ถ้าเป็นวันเสาร์-อาทิตย์ จะขอทุกๆ คนว่าอย่านัดเลย หรือถ้าจำเป็นต้องออกมาจริงๆ อย่างวันเกิดเพื่อน หรือต้องออกไปจริงๆ ก็จะขอว่า เดี๋ยวติ๊กตามไปหลัง 2 ทุ่มนะ ให้ลูกๆ หลับกันก่อน เพื่อนก็จะเข้าใจ เพราะเรามีครอบครัวแล้ว
ส่วนสามี เขาก็จะไม่ไปไหนเหมือนกัน เราพยายามให้เวลากับลูกเต็มที่ เราตกลงกันไว้แล้วว่า เสาร์- อาทิตย์ เราต้องไม่ไปไหนกันนะ เราต้องให้เวลากับลูกเต็มที่ ให้มีเวลาไปไหนมาไหนด้วยกันบ้าง หรืออย่างวันหยุดยาวเราก็จะไปต่างจังหวัดด้วยกันตลอด” เธอเล่าถึงการแบ่งเวลา ที่พยายามทุ่มเทให้สมดุล ทั้งชีวิตงาน และชีวิตครอบครัว”
ลูก = หัวใจ
“สำหรับติ๊กลูกเป็นทุกอย่างในชีวิตเลย เวลาติ๊กเหนื่อย หรือไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไรที่ทำให้ไม่สบายใจ ความท้อแท้ใจ พอเรากลับไปบ้าน เราได้อยู่กับเขา ได้เล่นกับเขา มันทำให้เรารู้สึกว่า ปัญหาที่เราเจอน่ะ ไม่เป็นไร....เราไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว เพราะเราอยู่กับเขาแล้วเรามีความสุข
ส่วนคำโบราณที่ว่ามีลูก 1 คน จนไป 10 ปี ถามว่าจริงมั้ย ตอบเลยว่าจริง (หัวเราะ) แต่ติ๊กไม่คิดว่าเขาเป็นภาระนะคะ ติ๊กคิดว่า เขาเป็นทุกอย่าง เป็นกำลังใจ เป็นเหมือนหัวใจของเรา ทำให้เราพร้อมที่จะเดินต่อไป ติ๊กบอกตรงๆ ว่าถ้าติ๊กไม่มีลูก ติ๊กคงไม่ต้องคิดถึงโปรเจ็กต์ (project) หน้า ทุกวันนี้ที่ติ๊กอยากจะทำอะไรเพิ่ม ทำโน่น ทำนี่เพิ่ม ทั้งหมดที่คิดอยากจะทำ ก็เพราะครอบครัว เพราะลูก เขาทำให้เรากลายเป็นคนแอคทีฟ (active) ไม่อยู่นิ่งๆ เนือยๆ ซึ่งเมื่อก่อน สมัยเรียนติ๊กจะเป็นคนเอื่อยเฉื่อยมาก แต่พอมีลูกปุ๊บ เปลี่ยนเลย ลูกทำให้ชีวิตติ๊กดีขึ้น ทำให้เรามีพลังชีวิต”
ทั้งที่ทุกวันนี้คุณติ๊กเธอว่า มุมานะทำงาน สร้างอนาคตต่างๆ ก็เพราะลูก แต่เมื่อถามว่า สาเหตุที่อยากทำธุรกิจใหม่ๆ ก็เพื่อที่จะสร้างไว้ให้ลูกชายทั้งสองหรือ? เธอกลับปฏิเสธทันควัน
“ไม่เลยค่ะ เพราะติ๊กอยากจะให้เขาทำด้วยตัวเขาเองมากกว่า ถามว่า ถ้าเขาอยากจะกลับมาต่อยอดงานที่เราสร้างไว้ได้มั้ย ก็ได้นะ แต่ใจจริง ติ๊กอยากให้เขาทำของเขาเองก่อน เพราะติ๊กเห็นหลายครอบครัวที่มีธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่ลูกๆ ก็ยังออกมาทำงานข้างนอกเลย หรืออย่างคุณพ่อ คุณแม่ติ๊ก ก็อยากให้ลูกได้ออกมาหาประสบการณ์ข้างนอก เพื่อที่จะนำกลับมาพัฒนาธุรกิจตัวเองให้ดีขึ้นไป ไม่ใช่อยู่ดีๆ คุณจะมาเป็นนายคนเลย คุณก็ต้องเป็นลูกน้องมาก่อน เรียนรู้งานก่อน”
ดูแลตัวเอง ในเวลาอันจำกัด
ก็เห็นทั้งทำงาน เลี้ยงลูก...เต็มร้อยทุกอย่างขนาดนี้ แต่คุณแม่ติ๊ก ก็ยังหน้าใส ผิวสวย ดูดีตลอดเวลา เราเลยอดไม่ได้ที่จะถามไถ่ ว่าเอาเวลาไหนไปดูแลตัวเอง ให้สวยเป๊ะ หุ่นเซี๊ยะ ถึงขั้นเคยถ่ายบิกินี่ อวดโฉมในนิตยสารดังมาแล้ว
“ติ๊กจะเน้นออกกำลังกายค่ะ อาจจะต่างจากคนอื่นที่เขาออกตอนเช้า ตอนเย็น แต่ของติ๊กจะต้องออกหลังลูกๆ เข้านอน หรือไม่ก็ไปออกกำลังกายพร้อมลูก คือถ้าวันไหนติ๊กไม่มีอีเว้นท์ ติ๊กกลับบ้านเร็ว ส่งลูกเข้านอนไว ติ๊กจะใช้เวลา หลัง 2 ทุ่ม ออกกำลังกาย จะมีเครื่องออกกำลังกายที่บ้าน หรือเสาร์-อาทิตย์ ก็จะไปว่ายน้ำกับลูกๆ ในหมู่บ้าน อาทิตย์นึง ติ๊กจะพยายามทำให้ได้ อย่างน้อย 2-3 วัน เพราะถ้าไม่ออกกำลังกายเลย ติ๊กจะอึดอัด
ส่วนการดูแลผิวพรรณ ติ๊กจะแค่นวดหน้า ไม่ได้ทำเลเซอร์ (Laser) หรือไปฉีดอะไร ส่วนใหญ่ติ๊กจะทำเองที่บ้านพอถึงวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ เอาแล้ว อยู่ในห้องน้ำเป็นชั่วโมงเลย สครับหน้า, มาร์คหน้า ที่บ้านจะมีมาร์คเต็มไปหมด เพราะติ๊กรู้สึกว่า ทำเองก็เวิร์คนะ ส่วนผิวตัวก็เข้าสปาบ้าง ประมาณสัก 2 อาทิตย์/ครั้ง เพราะบางทีพอเราอายุมากขึ้น การเผาผลาญก็ไม่ได้ดีเหมือนเดิม ก็อาจจะต้องใช้การนวดบ้าง เพื่อให้ระบบร่างกายเราหมุนเวียนได้ดี ไม่เป็นผิวเปลือกส้ม เราก็จะหาเวลาช่วงว่าง อย่างเช่น เสาร์-อาทิตย์ ไปส่งลูกเรียนเตะบอล เรียนปั้น พอลูกเข้าไปเรียน ติ๊กก็จะแว้บได้ สัก 1 ชั่วโมง เอาเวลาตรงนั้นแหละไปนวดหน้า ไปทำสปา” เธอยิ้มตอบ
ส่วนเคล็ดลับสำคัญที่ทำให้ใครต่อใครเจอก็ต้องทักว่าหน้าเด็กนั้น คุณติ๊กเธอว่า อยู่ที่ความพยายาม จัดการกับความเครียดของตัวเองค่ะ
“คนเราจะบอกว่าไม่เครียดเลย มันก็คงเป็นไปไม่ได้ แต่ติ๊กก็จะพยายามเครียดให้น้อยที่สุด ปล่อยวางให้มากที่สุด บางทีมีเรื่องนู้น เรื่องนี้มากระทบ เราก็จะคิดอะไรให้มันจบไป ไม่กลับมาคิดจดจ่อกับมันนาน เพราะทุกอย่างมันอยู่ที่ความคิดของเราทั้งหมดเลย ว่าเราจะคิดให้มันเป็นอย่างไร คิดว่าแย่จังเลย... ทำไมต้องมาเจอแบบนี้... ทำไมต้องเป็นแบบนี้... เราก็จะยิ่งจมลึก แต่ถ้าคิดว่า ที่เป็นอย่างนี้เพราะอย่างนี้ ช่างมันเถอะ ไม่ต้องไปสนใจ แคร์แค่คนใกล้ๆ ตัวก็พอแล้ว
หรือเรื่องงาน หากทำบางงานไม่เวิร์ค ก็ไม่เป็นไร เราทำไม่ดี งานหน้าก็ทำให้ดีกว่านี้แล้วกัน พยายามปัด ๆทิ้งๆ มันไป พูดกับตัวเอง ใช้วิธีตัวเองเตือนตัวเอง บางทีก็มีอ่านหนังสือธรรมะบ้าง ติ๊กคิดว่ามันช่วยได้นะ มีบางช่วงติ๊กเครียดมากๆ อ่านหนังสือธรรมมะแล้วก็คิดได้ว่า เราต้องปล่อยวาง”
แม้ใครๆ จะมองว่า ชีวิตเธอทุกวันนี้แสนจะลงตัว มีทั้งครอบครัวที่อบอุ่น งานการที่ก้าวหน้ามั่นคง หลายคน คงคิดว่าเธอวางแผนมาดี แต่สาวคนนี้เธอว่าทุกอย่างไม่ได้วางแผนอะไรเล้ย...
“ติ๊กไม่ได้มีการวางแผน หรือมีแบบแผน อะไรตายตัว ในการดำเนินชีวิต ติ๊กคิดว่าทุกอย่างถูกกำหนดมาแล้ว ให้โครงสร้างชีวิตเราเป็นแบบนี้ ติ๊กคิดว่ามันคือจังหวะ พอถึงช่วงชีวิตนี้มันเป็นแบบนี้ เราก็บริหารเวลา บริหารจังหวะชีวิตที่เราได้รับมาให้ดีที่สุด และเราก็มองอนาคตอันใกล้ ไม่ต้องมองไกลมาก วางแผนว่า เราจะต้องทำอะไรต่อไปบ้าง แต่สำหรับลูกเราก็อาจจะต้องวางแผนไกลนิดนึง ว่าจะให้เขาเรียนอะไรที่ไหนบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับบังคับหรือกะเกณฑ์มากนัก ติ๊กค่อนข้างเลี้ยงลูกตามธรรมชาตินะคะ คือเขาชอบอะไรก็จะตามใจ อย่างเรื่องการเรียน จะคุยกันก่อนว่าเขาอยากจะเรียนมั้ย ถ้าอยากก็ลองไปเรียนดู ถ้าชอบก็เรียนต่อ ไม่ชอบก็หยุด ติ๊กเลี้ยงลูกเหมือนกับที่คุณพ่อ คุณแม่เลี้ยงติ๊กมา คือท่านไม่เคยบังคับเรา ชอบอะไร อยากเรียนอะไร ท่านก็ให้เราได้เรียน ได้ลองทำสิ่งใหม่ๆ ที่เราอยากทำอย่างเต็มที่”
และหลักคิดที่ว่า ชีวิตไม่แน่นอน ขอแค่ทำปัจจุบันให้ดีที่สุดนี้ ก็คือหลักการในการดำเนินชีวิตของ “ติ๊ก วิลาสินี พรประเสิรฐถาวร” ในทุกๆ เรื่อง
“สำหรับติ๊กไม่ว่าจะเป็นชีวิตการทำงาน หรือชีวิตครอบครัว ติ๊กไม่ได้วางแผนหรือกะเกณฑ์ทุกอย่างไว้ว่าต้องเป็นแบบไหน ติ๊กแค่ทำทุกอย่างเต็มที่ให้มากที่สุด ผลออกมามันอาจจะมีทั้งคนชอบ และคนไม่ชอบก็ไม่เป็นไร แค่ติ๊กรู้สึกว่าทำเต็มที่แล้วก็โอเค เพราะเราจะไม่ต้องมานั่งเสียใจภายหลัง เพราะเรารู้ตัวอยู่ตลอดว่าที่ผ่านมาเราทำทุกอย่างเต็มที่แล้ว ทุ่มสุดตัวแล้วจริงๆ”
เรื่องโดย Lady Manager
ภาพโดย ศิวกร เสนสอน
>> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net