เป็นอีกหนึ่งหนุ่มสังคมที่ผู้คนทั่วไปให้ความสนใจไม่น้อย หลังจากตกเป็นข่าวอาสาดามหัวใจให้กับอดีตนางสาวไทย นุ้ย-สุจิรา อรุณพิพัฒน์ สำหรับหนุ่มตี่อารมณ์ดีนาม ปอนด์-ชยพล หลีระพันธ์ ทายาทคนโตของมหาเศรษฐีพันล้าน ณรัตน์ไชย-มัลลิการ์ หลีระพันธ์ ผู้เป็นเจ้าของธุรกิจอาหารมัลลิการ์ อินเตอร์ฟู๊ด ภายใต้ชื่อ “เย็นตาโฟเครื่องทรง โดย อ.มัลลิการ์” “ปังยิ้ม” และ “ปาป้าปอนด์ พิซซ่า พาย แอนด์ พาสต้า” ที่โด่งดังและเป็นที่รู้จักของนักชิมเกือบค่อนประเทศ
ตอนนี้หนุ่มตี๋หน้ามนทายาทรุ่นสองของครอบครัวหลีระพันธ์ได้เข้ามาสานต่อธุรกิจด้านอาหารของครอบครัวอย่างเต็มกำลังด้วยการเป็นผู้ดูแลร้าน “ปาป้าปอนด์ พิซซ่า พาย แอนด์ พาสต้า”ที่เจ้าตัวเป็นผู้ลงมือทำและคิดค้นสูตรขึ้นมาด้วยตัวเองอย่าภาคภูมิใจ รวมไปถึงร้าน “ปังยิ้ม”ที่ตอนนี้เปิดเพียงแค่สาขาเดียวเท่านั้นที่ร้านเย็นตาโฟเครื่องทรง โดย อ.มัลลิการ์ ถนนเกษตร-นวมินทร์
หนุ่มคนนี้อาจเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของคนรุ่นใหม่ในการแสวงหาหนทางที่ตัวเองชอบ และมุ่งทำอย่างมีความสุข โดยเฉพาะอาชีพ “เชฟ” ที่หลายๆคนกำลังสนใจ และใฝ่ฝัน หากแต่ลึกกว่านั้นส่วนหนึ่งในชีวิตเขาที่หันมาใช้สองมือจับกระทะและตะหลิวอย่างจริงจังนั้นมิใช่เพียงแค่ทำตามความฝันและอยากจะเป็นเชฟให้ดูเท่ห์เท่านั้น แต่ในฐานะทายาทผู้สืบเชื้อสายธุรกิจร้านอาหารซึ่งครั้งหนึ่งเขาฝันอยากให้ร้านอาหารของครอบครัวปรุงอาหารแปลกใหม่รสชาติดีๆให้ลูกค้าชิมกันทุกวัน ฉะนั้นเขาจึงมุ่งมั่นเดินตามความฝันของตัวเองอย่างเต็มกำลัง
ด้วยความที่เกิดและโตมาในคอบครัวทำธุรกิจด้านร้านอาหารกลิ่นหอมๆของอาหาร ความมีเสน่ห์ชวนมองของเครื่องไม้เครื่องมือในครัวได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของหนุ่มตี๋คนนี้ เพราะทุกวันเขาได้เรียนรู้วิธีการปรุงอาหารไทยจากคุณแม่และซึมซับรสชาติอาหารเลิศรสทุกวันจึงทำให้เขารู้สึกว่าการได้รับประทานอาหารดีๆสามารถทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้นได้อีก 1 วัน
“ตอนผมเป็นเด็กเคยเข้าครัวช่วยคุณแม่ทำอาหารแทบทุกวัน ตอนนั้นทำได้เพียงช่วยหยิบจับเครื่องปรุงพริกไทย เกลือ เล็กๆน้อยๆเท่านั้น ยังไม่ได้รู้ซึ้งอะไรมากแต่ทุกครั้งที่มีโอกาสเข้าครัวช่วยคุณแม่ผมมีความสุขมาก” ปอนด์ ย้อนความทรงจำวัยเด็ก
ความสุขจากการเข้าครัว ณ ตอนนั้นชายหนุ่มอาจยังไม่เข้าใจว่าทำไมทุกครั้งที่ช่วยคุณแม่ปรุงอาหารถึงได้รู้สึกดี กระทั่งวันหนึ่งที่เขาต้องไปเรียนซัมเมอร์ถึงต่างประเทศตั้งแต่วัยเยาว์ความเป็นพ่อครัวจึงเริ่มฉายแววขึ้นมาเมื่อเขาได้ลงมือ “หุงข้าว” ด้วยตัวเองตั้งแต่อายุเพียง 8 ขวบ
“ตอนผมอายุได้ 8 ขวบคุณแม่ส่งผมไปเรียนซัมเมอร์ ที่ประเทศนิวซีแลนด์ และโฮสต์แฟมิลี (ครอบครัวอุปถัมภ์) ก็เห็นว่าเราเป็นคนไทยเขาจึงพยายามที่จะหุงข้าวทำอาหารไทยให้เรารับประทาน แต่เขาหุงอย่างไรข้าวก็ไม่ขึ้นหม้อ ผมก็เลยโทรมาถามสูตรกับคุณแม่และคุณแม่ก็อีเมลสูตรการหุงข้าวตอบกลับมาให้ผม ผมจึงได้ลองหุงข้าว และปรุงอาหารตามวิธีที่คุณแม่สอน ให้ครอบครัวอุปถัมภ์ได้ลองชิม "
จากลูกคุณหนูเพียงแค่ช่วยคุณแม่หยิบจับเล็กๆน้อยในครัว ก็เริ่มหัดหุงข้าวสวยร้อนๆให้ครอบครัวอุปถัมภ์ได้ลองชิม แต่นั้นเป็นเพียงบททดสอบแรกเท่านั้น เพราะแววพ่อครัวของหนุ่มคนนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อเขาต้องไปเรียนไฮสกูลยังต่างแดนเขาจึงเริ่มทำอาหารรับประทานอย่างจริงจังจริงๆ
“ผมไปเรียนไฮสกูล ปีแรกเรายังเป็นน้องใหม่ก็ยังทานอาหารของโรงเรียนอยู่ แต่พออยู่ปีถัดมาเริ่มรู้สึกเบื่ออาหารของโรงเรียน จึงเริ่มโทรมาถามสูตรอาหารคุณแม่ท่านก็ส่งอีเมลล์ไปให้อีกตามเคยเราก็เลยทำอาหารกินเอง และแลกเปลี่ยนสูตรอาหารกับเพื่อนที่เป็นต่างชาติด้วยกันทั้ง เกาหลี ญี่ปุ่น เยอรมัน เราก็ผลัดเปลี่ยนกันทำอาหารของแต่ละชาติ”ชายหนุ่มเล่าด้วยความประทับใจ
หากแต่แววความเป็นพ่อครัวของหนุ่มปอนด์เริ่มฉายชัดขึ้นและทำให้เขาตกหลุมรักงานครัวเข้าอย่างเต็มเปาเมื่อตอนที่เขาได้รับทุนจากมหาวิทยาลัยให้ไปเรียนต่อปริญญาตรีที่ University of Denver ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงด้านการโรงแรมและอาหาร และครั้งนั้นเองเขาได้รับคัดเลือกให้เป็น Executive Head Chef ของรุ่น เพื่อทำอาหารสำหรับเป็นคะแนนในการจบการศึกษา
“ปีนั้นเป็นปีที่ผมกำลังจะสำเร็จการศึกษาและทุกคนในรุ่นจะต้องทำร้านอาหาร 1 วันเพื่อเลี้ยงขอบคุณสปอนเซอร์ ซึ่งในปีนั้นผมก็ได้รับมอบหมายให้เป็น Executive Head Chef ของรุ่นโดยปีนั้นต้องทำอาหารอิตาเลี่ยนเพื่อเสิร์ฟผู้บริหารและสปอนเซอร์ของมหาวิทยาลัย ปีนั้นเราจึงเปิดร้านพิซซ่า ซึ่งผมในฐานะหัวหน้าเชฟมีหน้าที่ต้องจัดหาสูตรอาหารต่างๆ ที่จะทำให้พิซซ่ามีหน้าตาน่ารับประทานและรสชาติถูกปากทุกคนมากที่สุด ตอนนั้นเราก็ได้ทำสูตรแป้งพิซซ่าบางกรอบ ซึ่งต่างจากพิซซ่าทั่วไปที่เน้นแป้งหนา และพานาคอตตา ที่ทุกคนล้วนชื่นชมว่าอร่อยมาก”ชายหนุ่มเผยความประทับใจ
สุดท้ายบททดสอบของพ่อครัวคนใหม่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี เมื่อชายหนุ่มเรียนจนจบหลักสูตรแล้วก็หอบนำความรู้ และประสบการณ์ทั้งหมดกลับมาที่เมืองไทยไม่เพียงแต่มาช่วยคุณแม่บริหารร้านอาหารที่มีอยู่หลายสาขาที่มีอยู่เท่านั้น แต่เขายังนำความรู้ในการทำพิซซ่าครั้งนั้นมาเปิดร้าน “ปาป้าปอนด์ พิซซ่า พาย แอนด์ พาสต้า " ให้คนไทยทุกคนได้ลองชิมกันอีกด้วย
“ผมได้ประยุกต์สูตรแป้งที่ใช้ทำพิซซ่าในครั้งนั้นมาทำร้านปาป้าปอนด์ พิซซ่า พาย แอนด์ พาสต้า เพราะผมคิดว่าคนไทยคงจะได้ลิ้มรสสูตรอาหารใหม่ๆสไตล์อิตาเลี่ยนที่ผมร่ำเรียนมาแต่ปรับรสชาติให้อร่อยถูกปากคนไทยครับ”
เพราะความเป็นคนไม่ชอบหยุดนิ่งในอนาคตอันใกล้นี้เขาจะขยายร้าน ปาป้าปอนด์ พิซซ่า พาย แอนด์ พาสต้า ให้คนไทยได้ลิ้มรสมากขึ้น และอีกหนึ่งฝันที่เขาพยายามปลุกปั้นให้สำเร็จคือการคิดค้นสูตร “ปังยิ้ม” ขนมปังที่ครองใจคนทุกเพศทุกวัยให้ถูกปากและถูกใจสาวกคนรักปังยิ้มทุกคน
นอกจากนั้นหนุ่มปอนด์ยังได้แนะนำสำหรับผู้ที่คิดอยากจะก้าวเข้ามาเป็นเชฟด้วยว่า อย่าหยุดหาความรู้ใส่ตัวเอง ทุกอย่างต้องอาศัยการเรียนรู้ ซึ่งกัน และกันงานดีๆ ถึงจะเกิดขึ้นมาได้ เพราะหัวใจสำคัญของเชฟทุกคนคือ ลูกค้าต้องมีความสุขกับอาหารของเรามากที่สุด.
>> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net