xs
xsm
sm
md
lg

รักแท้ของสาวเสียงสวย 'ลูกหว้า-พิจิกา จิตตะปุตตะ'

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

 
     ราวปีพุทธศักราช 2541 นิสิตสาวผู้หนึ่งของคณะนิเทศศาสตร์แห่งรั้วจามจุรี ตัดสินใจก้าวเข้าไปสมัครเป็นนักร้องของวงดนตรีประจำมหาวิทยาลัยซึ่งรวบรวมผู้คนมากหน้าหลายตาที่ล้วนหลงรักและหลงใหลในเสียงดนตรีเหมือนๆ กันกับเธอ...

 
     เปล่าหรอก สาวน้อยเฟรชชี่ผิวสีน้ำผึ้งนัยน์ตาคมคนนั้น ไม่ได้มุ่งหวังว่าตัวเธอเองจะต้องก้าวสู่การเป็นนักร้องเด่นดัง ไม่เคยคาดหวังถึงการเป็นนักร้องอาชีพ ไม่เคยคิดฝันจะเป็นซูเปอร์สตาร์ประดับฟากฟ้าวงการบันเทิง เธอรู้แค่ว่า เธอมีความสุขทุกครั้งที่ได้ร้องเพลง

 
     ลูกหว้า-พิจิกา จิตตะปุตตะ ในวันนั้น ไม่เคยคิดฝันว่า ณ วันนี้ เธอจะได้รับคำชื่นชมว่าเป็นนักร้องคุณภาพคนหนึ่งของวงการเพลงเมืองไทย ทั้งกำลังจะมีผลงานอัลบั้มเพลงในนามศิลปินเดี่ยวอย่างเป็นทางการวางแผงในปลายปีนี้ ราวกับว่ามันเป็นรางวัลตอบแทนความรักในเสียงเพลงและความมุ่งมั่นตั้งใจที่เธอไม่เคยทอดทิ้งตลอดระยะเวลาเกือบทศวรรษที่ยืนหยัดอยู่ในที่ทางเล็กๆ แต่เปล่งประกายเฉพาะตัว
    
     จากนักร้องของ CU BAND ที่ถูกขัดเกลาและส่งเสริมให้สามารถร้องเพลงได้ทุกแนว ได้เรียนรู้เทคนิค ได้เปิดประสบการณ์และโลกทัศน์ทางดนตรีจากนักดนตรีรุ่นพี่และบุคลาจารย์ผู้เปี่ยมพรสวรรค์ ได้ตระเวนทัวร์คอนเสิร์ตตามงานต่างๆ ทั้งในไทยและต่างประเทศ
 
     ได้สัมผัสกับเนื้อร้อง ทำนอง และทำความรู้จักกับแนวเพลงใหม่ๆ ที่ไม่คุ้นเคย
 
     กระทั่งในที่สุด ได้รับการชักชวนจากโอ๋-เจษฎา สุขทรามร หรือ โอ๋ ซีเปีย รุ่นพี่ที่เคารพ ให้มาร่วมงานกัน ก่อกำเนิดเป็นวงดูบาดู (DoobaDoo) ที่น้ำเสียงหวานใสในเพลง “ไม่ใช่ผู้ชาย” ของเธอ ยังยึดพื้นที่ในใจคนฟังเพลงได้จนทุกวันนี้
เด็กสาวที่มีเพียงความรักในเสียงเพลง กลายเป็นนักร้องที่ได้รับการกล่าวขานจากปากต่อปาก จริงอยู่แม้ลูกหว้าจะร้องเพลงได้หลากหลายแนว
 
     แต่หนึ่งในวัตถุดิบสำคัญที่ทำให้เสียงของเธอกลายเป็นอาหารจานอร่อย ได้รับคำชื่นชมจากคนฟังอยู่เสมอก็คือ...การถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึกในน้ำเสียงที่มีลีลาเฉพาะตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อใดก็ตาม หากได้ฟังเธอขับขานในท่วงทำนองของ แจ๊ซ หรือโซล และแม้แต่บลูส์...เมื่อนั้น ใครบางคนถึงขั้นเปรียบเปรยว่า เสียงของลูกหว้า คล้ายจะดูดกลืนบรรยากาศรอบตัวให้เงียบงัน นิ่งสงัด เนื่องจากทุกสิ่งในที่นั้น ถูกตรึงไว้ด้วยเสน่ห์น้ำเสียงที่เธอขับคลอ

 
     การแสดงสดในแทบทุกครั้งของเธอ ไม่ว่าจะเป็นนักร้องรับเชิญให้ศิลปินท่านอื่นหรือร้องเพลงของตนเอง ทำให้ผู้ฟังมีความสุขได้ทุกครั้ง
 
     เมื่อเธออิมโพรไวส์ ปลดปล่อยอารมณ์ให้ปล่อยไหลในลีลาแจ๊ซ, หม่นเศร้าเคล้าคลอไปกับเพลงบลูส์, กลั่นน้ำเสียงจากห้วงลึกของอารมณ์ในแบบเพลงโซล หรือแม้แต่ร้องเพลงป๊อบหวานใสเรียกความคึกคักกระชุ่มกระชวยในหัวใจ เธอก็ทำได้อย่างเต็มความสามารถ สำคัญกว่านั้น หลากหลายแนวเพลงที่เธอขับกล่อม ไม่ว่าอย่างไร คล้ายจะมี ‘ลายเซ็น’ เฉพาะตัวที่เด่นชัด
 
     ลายเซ็นหรือเอกลักษณ์ที่ว่า..คืออะไร? ลูกหว้าตอบคำถามนั้นอย่างหนักแน่นและชัดเจน
 
     “หว้าคิดว่าเป็นการถ่ายทอดอารมณ์ของเพลงค่ะ การร้องเพลงไม่ใช่แค่ร้องให้เพราะ ร้องให้ตรงตามโน้ต แต่การร้องเพลงในแบบของหว้า คือการถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึก เป็นอารมณ์ของการเล่าเรื่อง”

 
     แล้วการเล่าเรื่องที่เปี่ยมด้วยความรู้สึก มีชีวิตชีวาสัมผัสใจ เป็นสิ่งที่เธอกลั่นและกรองมาจากมุมมองแบบไหน?
 
     “จากประสบการณ์ชีวิต จากทัศนคติของเรา จากเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านเข้ามา ในแต่ละอารมณ์ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจของเรา เราสามารถนำมาใช้กับเพลง ดึงออกมาใช้ได้ทุกครั้ง เพลงของลูกหว้าจึงเป็นเพลงที่ลูกหว้าร้องด้วยความรู้สึกข้างใน หยิบเรื่องราว หยิบอารมณ์ต่างๆ ที่เราเคยเจอ มาใส่ไว้ในเพลง เพื่อให้เพลงมีชีวิต มีอารมณ์ มีความรู้สึก”
 
     เพราะเหตุนั้น ประสบการณ์ที่ผันผ่านในแต่ละวันปี ทัศนคติที่เปลี่ยนแปรไปตามแต่ละช่วงวัย ย่อมส่งผลสะท้อนต่อน้ำเสียงและแนวเพลงที่เธอขับร้อง
 
     “จนถึงวันนี้ เรารู้สึกว่าอะไรก็ตามย่อมเปลี่ยนไปตามแต่ละช่วงอายุ ช่วงที่เราเปลี่ยนผ่าน เติบโตไปในแต่ละวัย หลายสิ่งหลายอย่างมันก็เปลี่ยนไปด้วย เช่น ช่วงที่เราเป็นดูบาดู โอ้โห! ตอนนั้นโลกของเราหวานใส ทุกอย่างสดใส แต่มาถึงวันนี้ เราก็อายุ 30 จะ 31 แล้วนะ เราก็เคยผ่านเรื่องที่ทำให้รู้สึกแย่ รู้สึกผิดหวัง อกหัก เลิกกับแฟน เปลี่ยนงาน ผ่านเรื่องราวต่างๆ มาเยอะ เพราะฉะนั้น อัลบั้มที่ทำตอนอายุ 30 มันจึงย่อมต้องมีทั้งความหวาน ความดาร์ค ไม่ได้มีแค่ความหวานใส”

 
 
      แม้จะชอบฟังเพลงหลากหลายแนว แต่แนวที่เธอชื่นชอบเป็นพิเศษคือเพลงที่มีรากเหง้าจากจิตวิญญาณอันสุนทรีและหม่นเศร้าของคนดำ ไม่ว่า R&B, โซล, บลูส์, แจ๊ซ ลูกหว้าบอกว่าแนวเพลงเหล่านี้มีมนต์ขลังและสามารถผลักดันให้เธอถ่ายทอดอารมณ์ของตนเองออกมาได้อย่างเต็มที่ สามารถปลดปล่อยน้ำเสียง ใส่ลูกเล่นได้ตามแต่ละห้วงอารมณ์ เธอบอกว่า เพลงในสไตล์ของคนดำคือจิตวิญญาณอันอิสรเสรีที่ทำให้เธอถ่ายทอดบทเพลงออกมาได้ตามความรู้สึกของตน
 
     จากเด็กสาวที่รู้แค่ว่าการร้องเพลงคือความสุข กระทั่งเติบโตมาเป็นนักรองอาชีพ หาเลี้ยงตนเองด้วยเสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์ ชีวิตบนตัวโน๊ตที่เธอหลงใหล มอบอะไรให้แก่เธอบ้าง ? ลูกหว้าก็ยังยืนยันว่า สิ่งสำคัญเหนืออื่นใดคือ ‘ความสุข’ ที่อิ่มและเต็มในใจ ชนิดที่เธอถึงขั้นเปรียบเปรยว่า ...
 
     “ถ้าตายก็ไม่เสียดายชีวิตแล้วค่ะ ลูกหว้ารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ลูกหว้าได้รู้จักได้ร้องเพลงมาหลายแนวมากๆ และอย่างที่บอกไปว่า จริงๆ แล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับหว้าก็คือ หว้าร้องเพลงแล้วมีความสุข ณ วันนี้ หว้าเป็นนักร้องเต็มตัว กำลังจะมีอัลบั้มเต็มของตัวเอง แต่ก็ยอมรับว่าเราไม่ใช่นักร้องยอดนิยม แต่เราก็พอใจแล้ว ที่เราได้ทำงานที่เราชอบ ได้ทำในสิ่งที่รัก เลี้ยงตัวเองได้ แค่นี้ก็พอใจแล้ว พอเพียงแล้ว
“เด็กรุ่นใหม่ๆ อาจคิดว่า ต้องรวย มีเงินเยอะๆ แต่หว้าว่าเมื่อเราโตขึ้น สิ่งที่เราต้องการก็แค่ได้ทำงานที่รัก เลี้ยงตัวเองได้ มีความสุขกับเพื่อนร่วมงาน แค่นี้ก็พอ”

 
 
     แต่เมื่อเป็นนักร้องอาชีพ ย่อมต้องมีความเคารพในวิชาชีพของตน แล้วสำหรับเธอ ความเคารพที่ว่านั้น แสดงออกด้วยสิ่งใด?
 
     “เมื่อไหร่ก็ตามที่เราทำงานด้วยความตั้งใจ ทำด้วยความกลั่นกรอง ทำด้วยความมุ่งมั่น ค้นหาตัวตนให้เจอ มีความเป็นตัวเองขณะเดียวกันก็พยายามเข้าใจคนฟัง สิ่งที่ว่ามานี่แหละค่ะ คือความเคารพในวิชาชีพ เราไม่ทิ้งความเป็นตัวเอง และก็ต้องไม่ทิ้งคนฟัง และในทุกครั้งของการทำงาน ต้องไม่มีคำว่า ‘ขอไปที’ ไม่ทำงานอย่างลวกๆ ต้องเต็มที่กับงานทุกครั้ง ไม่เคยคิดว่าต้องทำให้จบๆ ไป”

 
 
     เมื่อเธอยืนหยัดอยู่ในวงการเพลง ฝากน้ำเสียงสวยซึ้งมานานเกือบ 10 ปี แล้ว ก็อดถามไม่ได้ว่า หากเปรียบการร้องเพลงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต จะเปรียบเป็นอะไร มันสำคัญกับเธอแค่ไหน ?
     คำตอบที่ได้รับจากเธอ..หวานและอุ่นไม่น้อยไปกว่าบทเพลงทั้งหมดที่เธอขับขานมายาวนาน
 
     “เพลงกับหว้า เราแยกจากกันไม่ได้ค่ะ หว้าไม่เชื่อในความรักของผู้หญิงและผู้ชาย แต่หว้าเชื่อในความรักของพ่อและแม่นะคะ แต่ถึงยังไง หว้าก็มักจะตั้งคำถามกับตัวเองเสมอว่ารักแท้คืออะไร? และคิดว่าหลายคนก็คงเคยตั้งคำถามกับตัวเองแบบนี้เหมือนกัน แต่สำหรับหว้า วันนี้หว้าตอบได้เลยค่ะ ว่ารักแท้ของหว้าคือดนตรี คือการร้องเพลง...'Music is my true love' การร้องเพลงและเสียงเพลงเป็นสิ่งที่อยู่กับหว้าไปได้จนวันตาย เพราะดนตรีมันเป็นทั้งแรงบันดาลใจ ช่วยเติมเต็ม เป็นอาชีพ เป็นความผ่อนคลาย เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตไปแล้ว เรียกว่าเป็นรักแท้ก็ได้ เป็นรักแท้ที่จะอยู่ด้วยกันไปจนวันสุดท้าย”

 
 
     และเมื่อเสียงเพลงคือรักแท้ของเธอ ...
     จึงอาจกล่าวได้ว่า เธอคนนี้...ขับกล่อมผู้คนด้วยรัก
                                    
 
                                    ........
                         Text by : นางสาวยิปซี
                        ถ่ายภาพโดย : ศิวกร เสนสอน
กำลังโหลดความคิดเห็น