ในบรรดาคอการเมืองหรือผู้ที่เคยสนทนาปราศรัยกับมีดโกนน้อย สุรบถ หลีกภัย บุตรชายสุดรักของ 'มีดโกนอาบน้ำผึ้งรุ่นเก๋า'อย่างนายหัวชวน หลีกภัย ย่อมทราบดีว่าหนุ่มปลื้มคนนี้ มีมุมมองทางการเมืองที่เปี่ยมด้วยอุดมคติ แต่ขณะเดียวกันก็กล้าที่จะมอง 'ธรรมชาติ' ของการเมืองไทยอย่างตรงไปตรงมาด้วยเช่นกัน
ดังความคาดหวังที่เจ้าตัวเคยเผยอย่างตรงไปตรงมาว่าในความคิดของเขา การเมืองไทยทุกวันนี้ก็คือ...การเมืองที่เต็มไปด้วยการซื้อเสียง หากเปรียบเป็นน้ำก็เปรียบได้กับ ‘น้ำเน่า’ ที่เหม็นคลุ้งและมืดดำแม้อาจจะพอมี น้ำดี อยู่บ้างแต่ก็ยังไม่มีพลังมากพอที่จะเจือจางน้ำเน่าให้กลายเป็นน้ำใสได้ในเร็ววัน
และเมื่อหันกลับมามองการเมืองไทย ณ วันนี้ กระแสการหาเสียงเลือกตั้งที่กำลังเข้มข้น นโยบายการหาเสียงที่ล้วนมากด้วยภาพขายฝัน เป็นคำโฆษณาชวนเชื่อที่ยากจะเป็นจริงได้ง่าย ทั้งหลายทั้งปวงที่ว่ามาจึงยิ่งทำให้เรานึกถึงคำกล่าวของ ‘มีดโกนน้อย’ ซึ่งนับว่าสะท้อนภาพของแวดวงการเมืองไทยได้สมจริง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสังคมไทยกำลังอยู่ในช่วงเทศกาลที่ 'นักการเมืองปากหวานก้นเปรี้ยว' กลับมาขายฝันอย่างคึกคัก มุมมองของปลื้มที่มีต่อแวดวงการเมืองไทยจึงยิ่งนับเป็นคำวิพากษ์ที่เหมาะเจาะยิ่งนัก โดยเฉพาะถ้อยความที่ปลื้มเคยบอกว่า
“การเมืองเป็นสิ่งสกปรก คุณพ่อเคยพูดในสภาว่า นักการเมืองในสภาเกินครึ่งซื้อเสียง (หัวเราะ)"
"...ถ้าคุณเป็นนักการเมืองที่ขี้โกง ซื้อเสียง คุณก็อาจจะได้ตำแหน่งมา แต่สุดท้ายก็ไม่มีประชาชนรักคุณ เพราะคุณขาดสิ่งที่เรียกว่า 'ความไว้เนื้อเชื่อใจ'
"...ผมก็เลยคิดว่าถ้าผมมีโอกาสเข้าไปในสภา ถ้าผมมีโอกาสได้เป็นนักการเมือง ผมจะต้องเปลี่ยนค่านิยมที่ประชาชนมีต่อนักการเมือง พูดง่ายๆ แค่ว่า เดินเข้าสภาแล้ว ฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาลต้องไม่เป็นไปในแง่ที่ว่าฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาลเกิดมาเพื่อขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง เพราะในอุดมคติของผม ฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาลเป็นพวกเดียวกัน เพียงแต่แบ่งหน้าที่กันทำ รัฐบาลมีหน้าที่ดำเนินการและปฏิบัติ ฝ่ายค้านมีหน้าที่หาข้อมูลและดูจุดบกพร่องว่าอะไรที่ยังทำให้ประชาชนได้ไม่เต็มที่ อะไรที่ประชาชนยังเดือดร้อนและอะไรที่ประชาชนยังต้องการ
"...ผมรู้สึกว่านี่คือสภาในอุดมคติ มันคือที่ที่ผู้คนเข้ามาถกกันถึงปัญหาของประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ใช่เข้ามาเพื่อมาแดกดันกัน ไม่ใช่เข้ามาเพื่อทะเลาะกัน ผมว่านักการเมืองควรเข้ามาทำงานเพื่อประชาชน
"…ถ้าถามผมว่า ณ ตอนนี้ ผมตั้งเป้าจะก้าวเข้าสู่การเมืองไหม? ผมก็ยังตอบไม่ได้ ผมแค่ลองมองดูก่อนว่าทิศทางทางการเมืองเป็นแบบไหน
"...ผมเปรียบเทียบนะ ถ้าผมเป็น 'น้ำใหม่' เป็นน้ำใสปิ๊งในถ้วยกาแฟหนึ่งแก้ว แต่ถ้าผมไปเล่นการเมืองร่วมกับโอ่งใหญ่ๆ ที่น้ำในโอ่งเป็นน้ำเน่าหมดเลย มันก็เป็นไปตามหลักของน้ำที่น้ำน้อยย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งของน้ำมาก ถ้าผมต้องเล่นการเมือง แล้วผมต้องไปอยู่ในวงจรอุบาทว์ของนักการเมืองที่สกปรก ผมขอไม่เล่นการเมืองดีกว่า ผมขอไปทำอะไรก็ได้ ที่ได้ทำประโยชน์เพื่อประชาชนในด้านอื่นๆ ขอไม่เล่นการเมืองดีกว่า"
ในเมื่อการเมืองไทยทุกวันนี้ยังเต็มไปด้วย ‘น้ำเน่า’ และ ‘พรรคการเมืองขายฝัน’ การเมืองไทยในอุดมคติของมีดโกนน้อย...จึงยังคงริบหรี่เหลือเกิน
..........
เรื่องโดย : นางสาวยิปซี
ภาพ : วรงค์กรณ์ ดินไทย