xs
xsm
sm
md
lg

ม.ล.อรดิศ สนิทวงศ์ กับบทบาทใหม่ “คุณแม่ Full Time”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

>> สาวสวยคนนี้หายหน้าหายตาจากแวดวงสังคมไปนาน หลายคนสงสัยว่าสาวเวิร์กกิ้งวูแมนคนเก่งคนนี้ หายไปไหน หายไปทำอะไร วันนี้เราชวนเธอมานั่งคุย อัพเดทเรื่องราวชีวิตให้ฟังถึง ตำแหน่งและบทบาทใหม่ที่เรียกได้ว่าสำคัญกว่าทุกงานไหนๆ ที่เคยได้รับ อย่างอาชีพ “คุณแม่”

จากอดีตนักกฎหมายสาว และนักบริหารแบรนด์สินค้าแฟชั่นสุดฮิต อย่าง “ซาร่า” ในประเทศไทย ที่จะคิดทำอะไรก็ดูจะคล่องแคล่วกระฉับกระเฉง มาวันนี้สาวเก๋จากราชสกุล “ดิศกุล” อย่าง “แก้ว-หม่อมหลวงอรดิศ สนิทวงศ์” บุตรสาวคนโตของ “หม่อมราชวงศ์ศุภดิศ ดิศกุล” กับ “พันโทหญิงชญาณิษฐ์ ดิศกุล ณ อยุธยา” กลับต้องคิดถึงและถวิลหาแต่ชีวิตในวันวาน เพราะต้องกลายมาเป็นคุณแม่เต็มตัวแบบเต็มเวลา ที่ต้องทุ่มเท่เพื่อทะนุถนอมดูแลเอาใจเพื่อลูกน้อยได้เติบใหญ่เป็นเด็กที่มีคุณภาพ

จากทนายความสู่แวดวงแฟชั่น

หลังเรียนจบจากคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หม่อมหลวงอรดิศมุ่งมั่นเดินตามเส้นทางสายอาชีพตามที่ได้ร่ำเรียนมาด้วยการเป็นทนายความอยู่หลายปี ระหว่างทำงานก็ได้ศึกษาต่อระดับปริญญาโทเพิ่มเติมด้านกฏหมายธุรกิจ ณ มหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย แต่ถึงแม้เธอจะบอกว่างานด้านกฏหมายเป็นสิ่งที่เธอชอบ แต่เรื่องแฟชั่นก็เป็นความชอบที่อยู่ลึกๆ ในใจเธอมานานแล้วเช่นกัน


“แก้วทำอยู่ที่บริษัท เบเคอร์ แอนด์ แม็กเคนซี่ ประมาณ 6 ปี ซึ่งถือว่านานพอสมควร จากนั้นได้เปลี่ยนมาทำงานเกี่ยวกับตลาดหลักทรัพย์ โดยมีโครงการทำให้เอ็มคอต (MCOT) เข้าตลาดหลักทรัพย์ เป็นงานที่สนุก แต่ลึกๆ แล้วแก้วชอบงานด้านแฟชั่นมากกว่า ซึ่งถึงแม้ว่าแก้วเรียนจบด้านกฎหมายก็ตาม แต่ชอบอ่านนิตยสารแฟชั่นคอยติดตามเทรนด์ต่างๆ มากมาย ทำให้ไม่ค่อยซีเรียสเท่าไหร่ จึงมีความใฝ่ฝันอยากจะทำงานด้านแฟชั่น ซึ่งตรงกันข้ามกับงานด้านกฎหมายที่แก้วเรียนมาเลย

...ตอนที่เริ่มต้นทำงานด้านแฟชั่น เกิดจากเพื่อนได้แจ้งข่าวว่า ซาร่า (Zara) จะมาเปิดสาขาในประเทศไทย ซึ่งเขาต้องการคนที่ไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับแฟชั่นเลย จึงลองไปสมัครและสัมภาษณ์ที่สิงคโปร์ ซึ่งต้องสัมภาษณ์หลายรอบมาก สงสัยเขาคงต้องการความชัวร์ว่าเราสามารถทำงานได้จริงหรือไม่ เนื่องจากแก้วเคยทำงานด้านกฎหมายมาก่อน พอได้รับคำตอบว่าตกลงรับเราแล้ว ก็ตื่นเต้นมาก เพราะไม่คิดว่าจะได้ทำงานด้านนี้มาก่อน จนต้องตื่นนอนแต่เช้าเพื่อมาทำงานทุกวัน

หม่อมหลวงอรดิศเริ่มทำงานกับซาร่าตั้งแต่เปิดร้านแห่งแรกในประเทศไทย จนตอนนี้มีถึง 5 ร้านแล้ว ตอนแรกเธอเล่าว่าต้องทำงานหนัก เพราะยังมีหลายคนที่ยังไม่รู้จักแบรนด์นี้มาก่อน แถมตัวเธอเองก็ใหม่ เพื่อนร่วมงานก็ใหม่หมด จนตอนนี้ถือว่าซาร่าเป็นแบรนด์เสื้อผ้าที่ได้รับความนิยมมาก และขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เนื่องจากมีเสื้อผ้าหลากหลายแนว มีทั้งเสื้อผ้าสำหรับสุภาพสตรี สุภาพบุรุษ เด็ก และสินค้าไลฟ์สไตล์”

รักไม่ต้องการเวลา

ระหว่างทำงานที่ซาร่า หม่อมหลวงอรดิศได้มีโอกาสพบกับคู่ชีวิต “โป๊ะ-วัฒนวงษ์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา” ซึ่งความรักของทั่งคู่ใช้เวลาสุกงอมกันเพียงแค่ไม่กี่เดือน จะเรียกว่าเป็นพรหมลิขิตก็ไม่ผิดนัก เพราะทั้งคู่มีบ้านอยู่บริเวณใกล้ๆ กัน แต่กลับไม่เคยได้เจอกันมาก่อน และถึงแม้จะคบหาดูใจกันได้ไม่นาน แต่ด้วยความที่หลายสิ่งเข้ากันได้ดี จึงทำให้ทั้งคู่ตัดสินใจสร้างครอบครัวร่วมกัน

“เราสองคนพบกันครั้งแรกในงานศพ ครั้งที่สองก็งานศพ หลังจากนั้นคุณแม่ของเขาเข้ามาขอนามบัตร แทนลูกชายเขา จากนั้นก็มาหาที่เซ็นทรัลเวิลด์เพื่อชวนไปกินข้าว รู้จักกันสามเดือนก็เป็นแฟนกัน อีกสามเดือนจึงตกลงแต่งงาน ซึ่งตอนที่มาขอแต่งงานเขาเซอร์ไพรส์ดอกกุหลาบสีขาว ตอนแรกก็งงว่ามาให้ทำไมตอนนี้ พอได้รับแล้วก็พบว่าภายในช่อกุหลาบสีขาวมีเชือกผูกแหวนหมั้นมาด้วย เขาเป็นผู้ชายน่ารัก ชอบทำเซอร์ไพรส์อะไรแบบนี้เสมอ บางครั้งก็ประดิษฐ์รูปทำเป็นการ์ดมาให้ เป็นต้น หลังจากนั้นอีกอีกสามเดือนจึงแต่งงานกัน”

หม่อมหลวงอรดิศกล่าวติดตลกว่า เธอกับสามีแทบไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย เช่น เขาทำงานเป็นสถาปนิกอยู่ต่างประเทศ เวลาทำอะไรก็จะใจเย็น รอบคอบ มีศิลปะ มีเหตุผล ไม่ค่อยชอบใช้ของแบรนด์เนม ไม่ค่อยชอบเดินตามศูนย์การค้า “ในขณะที่แก้วทำงานให้กับซาร่าอยู่ในเมืองไทย ซึ่งต้องเป็นคนทำอะไรรวดเร็ว เพราะต้องแข่งกับเวลา จึงคบกันได้เพราะมีเรื่องให้คุยกันมากมาย เป็นการช่วยเติมเต็มซึ่งกันและกัน ซึ่งถ้าเราคบคนที่มีอะไรเหมือนกัน หรือมีไลฟ์สไตล์คล้ายๆ กัน แก้วว่าชีวิตคงไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น และไม่ช่วยให้เราได้เรียนรู้อะไรเพิ่มขึ้นจากความแตกต่างนั้น”

จุดเปลี่ยนของชีวิต

หลังจากแต่งงานได้สองปี หม่อมหลวงอรดิศก็ได้รับข่าวดี เพราะเธอเริ่มตั้งท้องแล้ว แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้เธอต้องตัดสินใจเลือกระหว่างงานที่เธอรักกับลูกที่กำลังจะลืมตามาดูโลก แต่แล้วเธอก็เลือกอย่างหลัง เพราะเธอได้รับการเลี้ยงดูมาโดยให้ความสำคัญกับครอบครัวเป็นอันดับแรก

“แก้วเสียดายมาก เพราะมันเป็นงานที่แก้วรัก จะมีสักกี่คนที่ได้ทำงานในสิ่งที่ตัวเองรักและชอบขนาดนี้ แต่ว่าลูกสำคัญกว่า เพราะว่าแก้วโตมากับครอบครัวที่ให้ความสำคัญกับครอบครัวก่อน ตอนที่ตั้งท้องแรกๆ คุณหมอถามว่าไปยกของหนักมาหรือไม่ หรือเดินเยอะไปใช่ไหม ซึ่งเรายืนบนฟลอร์ 14 ชั่วโมง ตั้งแต่เช้า ก่อนห้างสรรพสินค้าเปิดดจนปิด ซึ่งคุณหมอบอกว่าไม่ควรเพราะจะมีผลต่อลูกในท้อง

...แก้วจึงต้องทำความเข้าใจกับเจ้านายว่าถ้าขืนทำงานแบบนี้ต่อไปจะไม่เกิดผลดีต่อลูกในท้องแน่ จึงตัดสินใจลาออก และให้เขาหาคนมาทำงานแทนแก้ว โดยแก้วมีข้อแม้ว่าต้องหาคนมาทำงานแทนให้ได้ก่อน เพราะเข้าใจว่าธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่รอเราไม่ได้หรอก มันต้องดำเนินต่อไป แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็หาคนมาแทนได้ ทำให้เราได้อยู่กับลูกและแฮปปี้มาก”

คุณแม่เต็มเวลา

ไม่ผิดนักที่จะบอกว่าการเป็นคุณแม่ของ “น้องนินา-เด็กหญิงสนิทนาถ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา” คืองานที่เธอรักที่สุด จากที่เคยคิดว่าการที่ต้องลาออกจากงานมาอยู่บ้านเลี้ยงลูกจะน่าเบื่อ แต่หม่อมหลวงอรดิศกลับบอกว่า เวลาสองปีที่อยู่กับลูกเป็นเรื่องสนุก เพราะมีอะไรให้เธอได้เรียนรู้อยู่ตลอดเวลา

“แวบแรกที่ได้เห็นลูกน้ำตาไหลเหมือนในหนังเลยนะ ดีใจมาก ตั้งแต่เขาเกิดแก้วก็ให้นมลูกเอง จนถึง 1 ปี 1 เดือน พอลูกเริ่มโตก็มีอะไรให้เราทำเยอะขึ้น ตอนแรกคิดว่าเราคงจะเบื่อ แต่ปรากฏว่าไม่เลย ตอนนี้เขาเริ่มเข้าโรงเรียน เป็นโรงเรียนพรีสคูล เตรียมความพร้อมก่อนเข้าโรงเรียนที่ฮาร์โรว์ สัปดาห์ละ 3 วัน วันอื่นๆ ก็พาไปออกกำลังกาย ไปสวนสัตว์ และที่อื่นๆ

มีคนบอกว่าช่วงระยะเวลาเด็กถึง 3 ขวบเป็นช่วงที่สำคัญมาก ถ้าเขาได้อยู่กับพ่อแม่อย่างใกล้ชิด เป็นช่วงที่เราจะใส่อะไรให้เขาก็ได้ เพราะเขาเตรียมพร้อมที่จะรับอยู่แล้ว พอมีลูกก็ใจเย็นขึ้น มีความอดกลั้นสูงขึ้นมาก เสียสละมากขึ้น จากเมื่อก่อนเราจะรีบๆ เร่งๆ เวลาทำงานมีปัญหาจะโวยวาย แต่พอกับลูกไม่ได้เลยนะ แก้วยังไม่เคยดุลูกเลยสักครั้ง ขนาดเวลาเครียด เรายังต้องหายใจลึกๆ แล้วค่อยๆ พูดกล่าวกับเขา เพราะถ้าเราโกรธสักครั้งเขาจะจำไปเลย”

ทุกวันนี้มีแต่คนรอบข้างบอกว่าลูกของเธอเลี้ยงง่าย อารมณ์ดี แข็งแรง ไม่ป่วย กินได้ นอนหลับ เพราะเธอได้ใกล้ชิดกับแม่ ซึ่งถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในการเป็นแม่คน เราจึงรู้สึกไม่เสียใจเลย ที่ไม่ได้ทำงาน เพราะผลลัพธ์ที่ดีออกมาสู่ลูกเรา”

ความสุขกับชีวิตที่ลงตัว

สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตตอนนี้คงหนีไม่พ้นเรื่องลูก ซึ่งแสดงออกผ่านแววตาที่เป็นประกายทุกครั้งที่พูดถึง น้องนินา ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวน แต่ในชีวิตด้านอื่นๆ เธอก็สามารถจัดสรรออกมาได้อย่างลงตัว

“เรารู้สึกว่ามันเป็นงานนะ ถึงแม้ทุกวันนี้แก้วจะไม่ได้ทำงาน แต่นี่คืองานของแก้วอย่างหนึ่ง ที่จะได้พัฒนาลูก เหมือนเราเป็นคุณครู เราต้องเลือกใช้วิธีเลี้ยงดูให้เหมาะสมกับลูกเรา อยากให้ลูกเป็นแนวไหนก็ใช้วิธีนั้น ซึ่งเราอยากให้ลูกช่วยเหลือตัวเองได้ในสังคมข้างหน้าโดยที่ไม่มีเรา และกล้าแสดงออกในสิ่งที่เหมาะสม และมีสัมมาคารวะกับผู้ใหญ่ เป็นคนดี เราก็เลี้ยงลูกเหมือนพ่อแม่เลี้ยงเรา คือท่านจะเลี้ยงเราเหมือนเพื่อน ไม่มีกฏระเบียบอะไรมากมาย เลี้ยงแบบสบายๆ”

ดูจะเป็นคุณแม่ที่งานยุ่งไม่น้อยเลยทีเดียว แต่หม่อมหลวงอรดิศก็ยังไม่ลืมที่จะพักผ่อนดูแลตัวเอง โดยการใช้เวลาในช่วงที่ลูกหลับช่วงบ่ายใช้เวลากับตัวเองสัก 2-3 ชั่วโมง ทำให้เธอไม่รู้สึกขาดและเหนื่อยกับการเลี้ยงลูกจนเกินไป ส่วนไลฟ์สไตล์กับกลุ่มเพื่อนมีเปลี่ยนไปบ้าง และออกงานสังคมน้อยลง แต่เธอบอกว่าชีวิตตอนนี้นี่แหละ...ลงตัวที่สุดแล้ว

“กลุ่มเพื่อนก็เปลี่ยนไป เมื่อก่อนเป็นสาวโสดหมดเลย แต่ตอนนี้แต่ละคนก็จะอุ้มลูกมาพบกัน หรือไม่ก็ท้องอยู่ เราจึงคุยกันแต่เรื่องลูก พัฒนาการของลูก อาการป่วยของลูก เรียกว่าเรื่องพี่เลี้ยงแก้วก็จะเป็นกูรูเรื่องเลี้ยงเด็กไปแล้วค่ะ ส่วนงานสังคมก็นานๆ ไป นอกจากจะมีเพื่อนๆ ชวนไป หรือคนจัดงานที่เราสนิทชวนไปจึงจะไป แต่ก็นานๆ ที เพราะมันไม่ตรงกับไลฟ์สไตล์เรา บางทีงานเริ่มหกโมงครึ่ง ได้เวลาลูกเรากินข้าว เราก็ต้องดูแล ถึงแม้จะมีพี่เลี้ยง เราก็ต้องดูแลเขาอย่างใกล้ชิด และที่สำคัญลูกเขาติดแก้วมาก เพราะแก้วไม่ได้ทำงาน แต่อยู่กับเขาตลอด
อีกอย่างสามีก็ช่วยเราเลี้ยงลูกได้มากเหมือนกัน ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยทำมาก่อน แต่เขาก็ทำได้ดี หลางครั้งทำได้ดีกว่าเราอีก อย่างการอาบน้ำให้ลูกตอนเพิ่งคลอด เราไม่ถนัดเพราะลูกตัวเล็กนิดเดียว แต่สามีไปเรียนวิธีอาบน้ำกับพยาบาลทุกวันตอนที่ลูกยังอยู่โรงพยาบาล”

ไม่เฉพาะเรื่องชีวิตที่ลงตัว แต่เรื่องจิตใจ หม่อมหลวงอรดิศได้ใกล้ชิดธรรมะมากขึ้นระหว่างตั้งท้องลูกสาว เพราะเธอเปิดเทปธรรมะให้ลูกฟัง ซึ่งนั่นก็เป็นอีกจุดเริ่มต้นที่ดี จนตอนนี้เธอได้นั่งสมาธิเป็นประจำ และเริ่มต้นเดินจงกรมแล้ว

อนาคตคุณแม่

เมื่อเราเอ่ยถามว่า คุณแม่ลูกหนึ่งอย่างเธออยากจะมีทายาทเพิ่มอีกหรือไม่ เธอบอกว่ายังไม่ตัดสินใจ แต่ถ้าเป็นเรื่องงานนั้น เธอตอบแทบจะทันทีว่าอยากจะกลับมาทำงานอย่างแน่นอน แต่จะต้องรอให้ลูกเข้าโรงเรียนเมื่อตอนอายุ 3 ขวบก่อน

“มีคนแนะนำหลายเยอะมากว่าอย่าทำงานแอกทีฟเหมือนเดิม แต่ด้วยความที่เราชอบสายงานที่เกี่ยวกับแฟชั่น จึงหนีไม่พ้น บางคนแนะนำว่าให้ทำงานที่สถานทูตดีหรือไม่ รับราชการ หรือเป็นรัฐวิสาหกิจ ซึ่งจะเหมาะกับคุณแม่อย่างเรามากกว่า เพราะเรากำหนดเวลาได้ เริ่ม 7 โมงเช้า บ่าย 3 โมงเลิกงาน ไปรับลูกได้ ซึ่งแก้วก็ไม่แน่ใจว่าจะทำได้หรือไม่ แต่ตอนนี้ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะทำอะไรต่อไป”

ไม่ว่าหม่อมหลวงอรดิศจะตัดสินใจทำอะไรต่อไป เราเชื่อว่าหญิงเก่งอย่างเธอต้องทำได้ และทำได้ดีอย่างแน่นอน! :: Text by FLASH mag.

Fact File ::::::::::::::::::::
นางแบบ :: ม.ล.อรดิศ สนิทวงศ์
เสื้อผ้า :: ปราด้า คอลเลกชั่นฤดูใบไม้ผลิ-ฤดูร้อน 2011 โทรศัพท์ 0-2656-1022
แต่งหน้า :: พุฒิธร อภิชนังกูร จากเครื่องสำอางลังโคม โทรศัพท์ 0-2684-3000
ประสานงาน :: สิริลักษณ์ เขตร์กุฎีร์
ช่างภาพ :: กมลภัทร พงศ์สุวรรณ
สไตลิสต์ :: ไซม่อน พี 
 

>> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net
กำลังโหลดความคิดเห็น