>> ย่างเข้าปีกระต่ายมาได้เกือบสองเดือนแล้ว ซึ่งดูเหมือนว่าปีนี้จะเป็นปีทองอีกปีของสาวคนนี้ที่ชื่อ “ศีกัญญา ศักดิเดช ภาณุพันธุ์” ด้วยคุณสมบัติพร้อมสรรพทั้งหน้าตาดี โปรไฟล์เริ่ดแล้ว ความสามารถของเธอก็ไม่เป็นสองรองใคร ทั้งการเป็นผู้ประกาศข่าว ภาคภาษาอังกฤษ การบริหารสินค้าแฟชั่นชื่อดังอย่าง คิปลิง (Kipling) รวมถึงงานประชาสัมพันธ์การตลาดให้กับโรงแรมเรอเนสซองส์ ธุรกิจโรงแรมอันเลื่องชื่อของครอบครัว และที่ทุกคนจะต้องกล่าวถึงเธอนับจากนี้ นั่นคือ การกระโดดไปสู่วงการบันเทิงด้วยการเป็นนักแสดงของค่ายเป่าจินจงอีกด้วย!
ผู้ที่ติดตามข่าวสารในแวดวงสังคม คงต้องคุ้นหน้ากันเป็นอย่างดีกับ “ปอ-ศีกัญญา ศักดิเดช ภาณุพันธุ์” อยู่แล้ว เพราะเธอมีผลงานมากมายและมักออกงานสังคมให้ช่างภาพได้กดชัตเตอร์เสมอ แต่เดิมเรารู้จักเธอในฐานะผู้นำเข้าและบริหารสินค้าแฟชั่นคิปลิง และเป็นคร่ำหวอดอยู่ในธุรกิจอสังหาริมทัพย์ของครอบครัว ทั้งอาคารมณียาเซ็นเตอร์ และบูติก โอเต็ล ซึ่งในปีนี้เธอได้ชิมงานใหม่ที่ “โรงแรมเรอเนสซองส์” โดยนั่งในตำแหน่งรองประธานกรรมการอาวุโส (Senior Vice President) รับผิดชอบส่วนงานประชาสัมพันธ์การตลาด ดูภาพรวมเรื่องภาพลักษณ์ของโรงแรม เพราะเธอคือลูกสาวคนโตของ “หม่อมราชวงศ์ทินศักดิ์” กับ “คุณศิริกาญจน์ ศักดิเดช ภาณุพันธุ์” เจ้าของโรงแรมเรอเนสซองส์นั่นเอง
การทำงานของปอตอนนี้ค่อนข้างลงตัว ทั้งงานด้านการประชาสัมพันธ์การตลาดให้กับแบรนด์คิปลิง และโครงการมาลิบู เขาเต่า รวมทั้งงานในความรับผิดชอบใหม่ล่าสุดของโครงการ คือ การทำงานประชาสัมพันธ์การตลาดให้กับโรงแรมเรอเนสซองส์แบบเต็มตัว โดยมีเชนจากแมร์ริออตมาคอยให้คำแนะนำในการรักษามาตรฐาน เพื่อให้งานมีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น”
หากสถาปัตยกรรมของวิหารเซนต์ ปีเตอร์ ที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี เป็นสถาปัตยกรรมยุคเรอเนสซองส์อันงดงามแล้ว โรงแรมเรอเนสซองส์ที่กรุงเทพฯ ก็จัดว่าเป็นศิลปะประยุกต์ที่มีความงดงามไม่แพ้กัน บวกกับความฮิปของยุคสมัยเข้าไปด้วย และกลิ่นอายของศิลปะไทย ทำให้โรงแรมเรอเนซองส์ กรุงเทพฯ ได้รับความสนใจจากผู้มาเยือนเป็นจำนวนมาก
“โรงแรมแห่งนี้เกิดขึ้นตามความประสงค์ของคุณพ่อกับคุณแม่ ซึ่งปอทราบว่าท่านจะสร้างมานานแล้ว ประมาณ 10 ปีเห็นจะได้ แต่เพิ่งจะเห็นเป็นรูปเป็นเมื่อปีที่แล้วนี่เอง ดังนั้น ช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาจึงทำให้ปอซึมซับรับเอาแนวคิดและรูปแบบการสร้างโรงแรมจากคุณพ่อมาตลอด เพราะท่านเป็นคนใส่ใจทุกรายละเอียด พอเข้ามาทำงานจริงจึงรู้สึกผูกพันกับสิ่งปลูกสร้างที่มีความงดงามแห่งนี้ โดยมีบริษัทอินทีเรียฝีมือเยี่ยมอย่างบริษัท PIA Interior เป็นผู้ออกแบบและตกแต่ง
...แต่ก็มีหลายสิ่งที่ปอไม่ได้มีส่วนร่วม เพราะไม่มีความรู้ด้านการบริหารจัดการโรงแรมโดยตรง แต่ว่าน้องชาย (ม.ล.ศรุตศักดิ์ ศักดิเดช ภาณุพันธุ์) เขาเข้าใจเรื่องการบริหารจัดการโรงแรมมากกว่าเรา เพราะกำลังเรียนด้านการบริหารโรงแรม และมีส่วนร่วมในการแชร์ไอเดียกันตลอดเวลา ที่สำคัญเขาเคยฝึกงานที่โรงแรมแห่งนี้ด้วย ทำทุกอย่างตั้งแต่ห้องอาหาร และการบริการต่างๆ ภายในโรงแรม ซึ่งดูเขาจะเอนจอยกับสิ่งที่ทำไม่น้อยเลยทีเดียว”
ความหมายตรงตัวของ “เรอเนสซองส์” (Renaissance) นั้น เป็นช่วงเวลาที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในยุโรป ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรมยุคใหม่ แต่สำหรับเรอเนสซองส์ กรุงเทพฯ เวลานี้ เป็นโรงแรมที่มีการผสมผสานของศิลปะ ความฮิป และการบริการแบบมืออาชีพ จนเป็นโรงแรมน้องใหม่ที่มาแรงที่สุดในปีนี้ของกรุงเทพฯ เลยก็ว่าได้
“ตอนแรกหลายคนอาจคิดว่าชื่อโรงแรมออกเสียงยาก แต่ตอนนี้ไม่มีใครไม่รู้จัก และให้การตอบรับเป็นอย่างดี จนตอนนี้โรงแรมเรอเนสซองส์เป็นโรงแรมหนึ่งที่มีการจัดงานอีเวนต์และการประชุม สัมมนา มากมาย ตัวโรงแรมเองมีความน่าสนใจ ไม่ว่าจะทำอะไรกระแสที่ได้รับก็ดีอย่างต่อเนื่อง มีคนพูดว่าเรอเนสซองส์เป็นโรงแรมที่น่ารัก ตั้งแต่พนักงานบริการเปิดประตูไปจนถึงพนักงานทุกระดับ ทำให้ปอและทีมงานทุกคนภาคภูมิใจ เพราะการบริการเป็นหัวใจสำคัญงานโรงแรม ถ้าลูกค้ามาแล้วไม่ได้รับการบริการที่ดีโรงแรมก็อยู่ไม่ได้
...ส่วนหนึ่งที่คนนิยมมาจัดงานที่นี่คงเป็นเพราะเรอเนสซองส์เป็นโรงแรมใหม่และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน สามารถรองรับได้หลายรูปแบบ ด้วยเพราะห้องต่างๆ สามารถปรับลดหรือเพิ่มตามความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี อย่างเช่น การจัดโชว์รถยนต์บนห้องบอลรูม ที่เรอเนสซองส์ก็มีลิฟต์ขนาดใหญ่สำหรับเคลื่อนย้ายรถยนต์โดยเฉพาะ และไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นงานที่หรูหราเท่านั้น งานประชุมหรือสัมมนาขนาดย่อมก็สามารถจัดได้ทุกรูปแบบ”
นอกจากโรงแรมมีความน่าสนใจแล้ว ต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งที่ช่วยผลักดันให้ชื่อเสียงของโรงแรมติดหูและเติบโตอย่างรวดเร็ว ก็เพราะมีสาวเปรี้ยวที่ชื่อ “ปอ-ศีกัญญา ศักดิเดช ภาณุพันธุ์” เป็นองค์ประกอบนั่นเอง เพราะนอกจากเธอจะเป็นสาวสังคมที่มีเพื่อนพ้องน้องพี่เป็นจำนวนมากแล้ว ความสามารถเฉพาะตัวที่มีความโดดเด่นก็เป็นตัวช่วยที่ดีได้ไม่น้อย
“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ เพราะปอรับผิดชอบแค่การดูแลภาพลักษณ์ของโรงแรมเท่านั้น จึงไม่อยากเอาตัวเองมาขายมากกว่าโรงแรม แต่ปอตั้งใจทำงานให้ดีที่สุดจากประสบการณ์ที่ตัวเองมีอยู่ ซึ่งผลงานอาจจะวัดยากว่าใครมีส่วนช่วยผลักดันให้โรงแรมประสบความสำเร็จมากกว่ากัน เพราะการทำธุรกิจโรงแรมขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของลูกค้า และความร่วมแรงร่วมใจกันทำงาน จนบางครั้งดูเหมือนเป็นนามธรรม แต่ปอเองก็มั่นใจว่าโรงแรมจะประสบความสำเร็จ ดูจากผลตอบรับที่ผ่านมา”
และเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา อีเวนต์ที่ยิ่งใหญ่และคึกคักสนุกที่สุดงานหนึ่ง คงต้องยกให้กับงานฉลองวันเกิดครบรอบ 30 ปี ของเธอ เพราะมีเพื่อนพ้องน้องพี่จากหลากหลายวงการมาร่วมงานจน “R bar” บาร์จุดเก๋ ภายในโรงแรมเรอเนสซองส์แน่นขนัด ซึ่งวันนั้นนับเป็นสเตปใหม่ของชีวิตเธอก็ว่าได้ ที่มาพร้อมกับความมุ่งมั่นและแนวคิดที่ว่า “ชีวิตจะต้องเติบโตขึ้นทุกวัน!”
“การที่เราจะก้าวไปอีกสเตป จริงๆ แล้วไม่ต้องรอให้ถึงปีใหม่ก็ได้ หรือไม่ได้เอามาเป็นเกณฑ์ว่าเราจะโตขึ้นหรือยัง ปอว่าทุกวันคือวันที่ปอจะโตขึ้นได้ เมื่อเราตัดสินใจว่าเราจะโตขึ้น เราสามารถโตขึ้นได้ทุกวันไม่จำเป็นว่าจะต้องรอปีใหม่ หรือถ้าถึงปีใหม่แล้วเรายังไม่โตขึ้นก็ไม่ต้องถึงกับเอามีดมาปาดคอตัวเองว่าเรายังไม่โตขึ้นเลย เพราะคนเรามีโอกาสอย่างน้อยๆ 365 วัน ให้เลือกที่จะโต ถามว่าทุกวันที่ผ่านมาโตขึ้นหรือยัง ปอรู้สึกว่าโตขึ้นทุกวัน เพราะประสบการณ์วันนี้กับวันพรุ่งนี้ก็ไม่เหมือนกัน เราต้องเจออะไรที่เปลี่ยนแปลงทุกวัน”
นอกจากนี้ เธอยังเปิดซิงชิมลางวงการบันเทิงด้วยการรับบทเป็นดารารับเชิญให้กับ “ตู่-นพพล โกมารชุน” ในละครเรื่อง “เคหาสน์สีแดง” ละครแนวพีเรียตย้อนยุค ที่ต้องมีฉากแกะสลักผลไม้ จัดดอกไม้ ซึ่งตัวเธอเองใฝ่ฝันว่าครั้งหนึ่งในชีวิตจะได้มีโอกาสได้แสดงละคร แม้ว่าแอกติ้งอาจจะไม่โดดเด่น แต่ก็ถือว่าทำให้เธอได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ที่ไม่เคยมาก่อนในชีวิต
“ตอบตกลงอย่างไม่ยากเลย สำหรับละครพีเรียต เพราะโดยส่วนตัวชอบวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของคนโบราณ ที่มีความละเอียดอ่อนอยู่แล้ว แต่ในชีวิตประจำวันอยู่ดีๆ จะให้ห่มสไบ นุ่งผ้าถุง ก็ไม่ใช่ แต่การที่จะได้ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการและชอบก็คือการแสดงบทบาทในละครเท่านั้น เมื่ออาตู่ให้โอกาสก็เลยโอเคทันที
...แสดงครั้งแรกก็เกร็งเล็กน้อย เพราะว่าอาตู่เป็นผู้กำกับเองและเราก็ชื่นชมอาตู่ในฐานะนักแสดงอยู่แล้วตั้งแต่เด็ก ปอไม่เคยเรียนการแสดงมาก่อน แต่อาตู่ก็เข้าใจว่าปอไม่ถนัดทางด้านนี้ พอแสดงจริงก็รู้สึกว่ายากมาก (ลากเสียงยาว) แต่เล่นเพราะใจรัก นี่ขนาดเป็นบทง่ายๆ ไม่ต้องแสดงอารมณ์มาก แต่ก็ท้าทายดี ได้รู้อะไรใหม่ๆ ที่ไม่เคยรู้มาก่อน
ในการถ่ายทำปอชอบคัตตัวเอง เพราะปอเป็นคนที่เป๊ะมาก ถ้าบทผิดไปคำเดียวทั้งที่ความหมายก็ไม่ได้เปลี่ยนไปแต่เราก็รู้สึกว่าไม่ได้! เราก็หยุดเลย ทั้งที่ผู้กำกับไม่ได้สั่งให้คัต อาตู่ก็จะบอกว่า เฮ้ย!...หยุดทำไม (หัวเราะ) แม้จะถ่ายจบไปแล้วแต่ก็ยังอยากทำให้ดีกว่านี้ คราวนี้ตื่นเต้นไปหน่อย แต่คราวหน้าก็จะรู้ว่าควรจะเตรียมตัวอย่างไร และถ้ามีโอกาสได้ทำอีกก็จะพยายามให้ดีขึ้นไปอีก ถ้าให้เล่นอีกก็อยากเล่นบทเรียบๆ ที่คล้ายกับตัวตนของเรา แต่ที่สำคัญต้องเป็นแนวพีเรียตนะคะ”
เมื่อวันหนึ่งจากคนธรรมดากลายมาเป็นคนที่เป็นที่รู้จักไม่ว่าในฐานะเซเลบริตี้หรือนักแสดงที่เริ่มเป็นที่สนใจของคนทั่วไป แน่นอนว่าต้องมีทั้งคนชอบและไม่ชอบเป็นธรรมดา ซึ่งก็คงเป็นเรื่องที่ไม่สามารถบังคับใจคนอื่นได้ นั่นก็ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกเสียเซลฟ์แต่อย่างไร...
“ขอบคุณมากที่มีคนให้ความสนใจ รู้สึกเป็นเกียรติจริงๆ (ไม่ได้เฟกนะ) ไม่ว่าจะเป็นคนทั่วไปที่ปอรู้จัก หรือพี่ๆ นักข่าว ปอรู้สึกว่าเป็นความสัมพันธ์ที่เราเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน ห่วงสารทุกข์สุขดิบของกัน ทักทายกัน หลายคนบอกว่า 10 ปีที่แล้วปอเป็นอย่างไร ปอก็เป็นอย่างนั้นตลอด กับคนอื่นที่เขาคุ้นหน้าเราก็มีบ้างที่มาทักทาย เราก็ไม่ใช่ดารานะ แต่ก็เริ่มมีคนรู้จักเราแล้ว...
...และปอคิดว่า99 เปอร์เซ็นต์ของมนุษย์ ต้องมีเรื่องรัก โลภ โกรธ หลงอยู่แล้ว ปอมั่นใจว่าต้องมีคนไม่ชอบปอ แต่คงไม่มีใครมาจ้องหน้าเราแล้วบอกว่าไม่ชอบเราหรอก เราไม่ใช่คนที่เล่นบทนางร้ายแล้วแม่ค้าอยากเขวี้ยงเปลือกทุเรียนใส่ หรือถ้าเขาเกลียดเราจริงๆ ก็คงไม่มาชี้หน้าด่าเราว่า “ชั้นเกลียดแก” เราไม่ได้ทำตัวให้คนเกลียดหรือจะให้ทุกคนชอบเราก็เป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าเขาจะไม่ชอบเราเพราะแค่ไม่ชอบหน้า ปอว่าอันนั้นก็ไม่มีเหตุผล ปอไม่สนใจเลย ปอคิดว่าเมื่อเราอยู่ของเราไม่ได้เบียดเบียน หรือสร้างความเดือนร้อนให้ใคร ถ้าใครจะไม่ชอบหน้าเราบ้างก็ไม่เป็นไร”
จะว่าไปแล้วปีนี้เป็นปีที่มีอะไรหลายๆ อย่างอยู่เหนือการคาดเดาของเธอ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานด้าน โรงแรม และการเข้ามาสู่วงการบันเทิง นั่นเป็นเพราะเธอไม่ปล่อยให้โอกาสชีวิตผ่านไปเฉยๆ...
“หากย้อนไปมองเมื่อปีที่แล้วเราก็ไม่รู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเราบ้าง ปอไม่รู้มาก่อนว่าตัวเองจะได้เข้ามาเล่นละคร เพียงแต่คิดว่าอยากทำอะไรใหม่ๆ ตลอด และเมื่อมีโอกาส มีพลัง มีเวลาเราก็ทำ อนาคตเป็นสิ่งที่เดายาก ก็คงตอบได้เพียงทำสิ่งที่มีอยู่ให้ดีที่สุดเท่านั้นแหละค่ะ” ถ้าเรามีโอกาสใครหล่ะจะไม่ยอมทำให้สุดความสามารถ! :: Text by FLASH mag.
Credit
นางแบบ :: ศีกัญญา ศักดิเดช ภาณุพันธ์
เสื้อผ้า :: DKNY มีจำหน่ายที่ คลับ 21
แต่งหน้า :: แสงชูพรรณ นาวิชา จากเครื่องสำอาง M.A.C
สถานที่ :: โรงแรมเรอเนสซองส์ กรุงเทพฯ
ช่างภาพ :: วรงค์กรณ์ ดินไทย
>> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net