จุดแข็งหลักของ AirPods Pro 3 ที่อัปเกรดมาในปีนี้ คือเพิ่มความสามารถในการตัดเสียงรบกวนให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม พร้อมกับการเพิ่มเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ (HR) เข้ามาที่หูฟัง ทำให้ตัวหูฟังสามารถใช้วัดข้อมูลสุขภาพระหว่างที่ใส่ออกกำลังได้แม่นยำมากยิ่งขึ้น
ส่วนฟีเจอร์เด่นเดิมของ AirPods Pro ทั้งในเรื่องของคุณภาพเสียง อีโคซิสเตมส์ที่ใช้งานร่วมกันระหว่างอุปกรณ์ Apple ทั้ง iPhone Mac และ iPad ยังทำได้ยอดเยี่ยมเช่นเดิม เสริมด้วยการปรับหูฟังให้สวมใส่ได้สบายขึ้น จากจุกหูฟังซิลิโคนที่มีไซส์ให้เลือกเพิ่มขึ้นด้วย
AirPods Pro 3 วางจำหน่ายแล้วในราคา 8,490 บาท
ข้อดี
หูฟังไร้สาย ตัดเสียงรบกวน (ANC) ได้ดีอันดับต้นๆ
มีเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจมาให้
จุกหูฟังมีให้เลือก 5 ขนาด เลือกใส่ได้มากขึ้น
ข้อสังเกต
ราคาค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับคู่แข่ง
ใช้ชิป H2 รุ่นเดิมกับ AirPods Pro 2
ฟีเจอร์แปลภาษา (Live Translation) ยังไม่รองรับในไทย
ดีไซน์ ปรับให้สวมใส่ได้สบายขึ้น
แม้ว่าจะดูภายนอก AirPods Pro 3 จะมีดีไซน์คล้ายรุ่นเดิมมากๆ แต่ในความเป็นจริงมีการปรับองศาของลำโพงที่อยู่ภายในจุกหูฟังให้ทำมุมเข้าสู่รูหูให้ตรงมากขึ้น เช่นเดียวกับการปรับดีไซน์ให้เหมาะกับสรีระของผู้ใช้งานให้ทุกคนสามารถสวมใส่ได้มากขึ้น โดยเฉพาะขณะที่สวมใส่ออกกำลังกาย
ส่วนสำคัญคือการเพิ่มขนาดของจุกหูฟัง ให้มีตั้งแต่ไซส์ XXS XS S M L มาให้ในกล่อง ทำให้จากเดิมผู้ที่มีปัญหาสวมใส่แล้วหูฟังหลุดออกมา จากการที่จุกหูฟังแน่นเกินไป พอมีตัวเลือกขนาดให้เลือกมากขึ้น ก็จะแก้ไขปัญหานี้ได้ โดยทาง Apple มีโหมดทดสอบการสวมใส่ Ear Tip fit test มาให้ทดสอบด้วยในส่วนของการตั้งค่า AirPods ให้ไปลองได้
ตัว AirPods Pro 3 สามารถฟังเพลงได้ต่อเนื่อง 8 ชั่วโมง เพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อนหน้าราว 33% เมื่อเปิดใช้งานโหมดตัดเสียงรบกวน และใช้งานได้ 10 ชั่วโมง เมื่อเปิดโหมดรับฟังเสียงรอบข้าง ในกรณีที่แบตฯ หมดสามารถใส่กลับไปในเคส 5 นาที เพื่อฟังต่อได้ราว 1 ชั่วโมง
จุดที่เปลี่ยนแปลงในเคสอีกส่วนคือ มีการตัดปุ่มกดเพื่อใช้ในการเชื่อมต่อบลูทูธ (Pairing) ด้านหลังเคสออก ดังนั้น ถ้าต้องการเข้าสู่โหมด Pairing เพื่อเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ จะใช้วิธีการเปิดฝาขึ้นมา แล้วแตะ 2 ครั้งที่หน้าเคส รอจนกว่าไฟจะกระพริบขึ้นมาแทน
ตัวเคสยังรองรับการชาร์จไร้สาย ที่ชาร์จได้จากแท่นชาร์จ Apple Watch และที่ชาร์จ MagSafe ของ iPhone หรือจะเลือกชาร์จผ่านสาย USB-C ได้เหมือนกัน พร้อมกับมีช่องใส่สายคล้อง และลำโพงไว้ส่งเสียง เวลากดตามหา AirPods จาก iPhone ให้ใช้เหมือนเดิม
ตัดเสียงดี วัด HR ขณะออกกำลัง
สำหรับ 2 ความสามารถใหม่ที่เพิ่มเข้ามาใน AirPods Pro 3 คือการปรับปรุงเทคโนโลยีในการตัดเสียงรบกวนซึ่งถ้าเทียบกับ AirPods Pro รุ่นแรก ตัดเสียงรบกวนได้ดีขึ้น 4 เท่า ส่วนถ้าเทียบกับ AirPods Pro 2 จะตัดเสียงรบกวนได้ดีขึ้น 2 เท่า ผ่านการประมวลผลด้วยชิป H2 ที่ให้มา และการออกแบบจุกหูฟังใหม่ที่เสริมซิลิโคนเข้าไปให้กระชับมากขึ้น
เท่าที่ทดสอบใช้งาน AirPods Pro 2 เมื่อเทียบกับ AirPods Pro 3 ในสถานที่เดียวกัน อย่างเช่นงานคอนเสิร์ต หรือในพื้นที่ที่มีเสียงรบกวนหนักๆ อย่างบนเครื่องบิน กลายเป็นว่า AirPods Pro 3 สามารถตัดเสียงได้ดีขึ้นอย่างชัดเจน ทำให้ถ้าใครที่ใช้งาน AirPods Pro รุ่นแรกอยู่ ถ้าข้ามมาใช้งานรุ่นใหม่นี้ จะตัดเสียงได้ดีขึ้นเป็นอย่างมาก
การตัดเสียงรบกวนของ AirPods Pro ไม่ได้เหมาะเฉพาะกับผู้ใช้งานที่เป็นโปรยูสเซอร์เท่านั้น เพราะผู้ใช้งานทั่วไป สามารถสวมใส่ AirPods Pro เพื่อใช้เป็นอุปกรณ์ในการช่วยลดเสียงดัง ที่ทำให้เกิดอันตรายกับหูได้ หรือใช้เป็นอุปกรณ์ช่วยฟังสำหรับผู้ที่มีปัญหาในการได้ยิน ทำให้ AirPods Pro 3 กลายเป็นมากกว่าหูฟังในปัจจุบันอยู่แล้ว
ส่วนฟีเจอร์การวัดอัตราการเต้นของหัวใจที่เพิ่มเข้ามา พร้อมกับมาตรฐานกันน้ำ IP57 ทำให้ผู้ที่นิยมใช้งาน AirPods Pro ในการออกกำลังกาย สามารถใช้ประโยชน์จากเซ็นเซอร์ใหม่นี้ ทำให้ได้ข้อมูล HR ที่แม่นยำมากขึ้น เพราะเซ็นเซอร์ที่บริเวณหูจะให้ความแม่นยำมากกว่าตรงข้อมือจากการสวมใส่ Apple Watch
ข้อมูลที่น่าสนใจคือ ผู้ใช้งาน Apple Watch ที่สัก หรือมีขนแขนเยอะๆ จะมีปัญหากับความแม่นยำของเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับผู้ใช้ Apple Watch แต่รวมถึงสมาร์ทวอทช์ และสมาร์ทแบนด์รุ่นอื่นๆ ในตลาดด้วย จากการที่เซ็นเซอร์เหล่านั้นต้องใช้แสงในการส่องผ่านผิวหนักเพื่อวัดข้อมูล ทำให้การมีเซ็นเซอร์นี้เข้ามาจะช่วยเพิ่มความแม่นยำมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์วัด HR นี้ จะเข้าถึงได้เฉพาะตอนที่ออกกำลังกายเท่านั้น ถ้าไม่ได้มีการออกกำลังกาย ตัวหูฟังก็จะทำงานเป็นหูฟังไร้สายตามปกติ และตัดการทำงานของเซ็นเซอร์ออก เพื่อให้สามารถใช้งานได้ต่อเนื่อง
พร้อมกันนี้ ในการอัปเดต iOS 26 ยังได้มีการเพิ่มความสามารถให้ AirPods อย่างใช้ในการควบคุมการถ่ายภาพ ใช้เป็นชัตเตอร์กล้อง เลื่อนซูมเข้า ซูมออกในการถ่ายภาพ รวมถึงใช้ AirPods เป็นไมค์บันทึกเสียงเวลาถ่ายวิดีโอด้วย
นอกจากนี้ ยังเพิ่มการแจ้งเตือนให้ชาร์จ ในเวลาที่แบตใกล้หมด หรือแจ้งเพิ่มเติมป่าวแบตเตอรี่ชาร์จเต็มแล้ว เช่นเดียวกับการชาร์จ Apple Watch ที่เป็นการนำความสามารถของ AI มาช่วยในการแจ้งเตือนการใช้งานต่างๆ
สรุป
ในภาพรวม AirPods Pro 3 นับเป็นหูฟังไร้สายตัดเสียงรบกวนที่ ถ้าใช้งาน AirPods Pro รุ่นแรกอยู่ หรือใช้รุ่นที่ 2 แล้วแบตฯ เริ่มเสื่อม ก็ถึงเวลาเปลี่ยนเครื่องใหม่แล้ว แต่ถ้าใช้ AirPods Pro 2 อยู่แล้วยังใช้งานได้ดี ก็ไม่ได้มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนมาขนาดนั้น นอกจากจะใช้เพื่อการออกกำลังกาย แล้วไม่อยากใส่ Apple Watch
แน่นอนว่า AirPods Pro 3 จะยังทำตลาดต่อเนื่องไปอีกราว 3 ปี อย่างที่เห็นว่า AirPods Pro รุ่นแรก ออกในปี 2019 ตามด้วย AirPods Pro 2 ในปี 2022 แม้ว่าจะมีการอัปเกรดพอร์ตเป็น USB-C ตามออกมา แต่ก็ไม่ได้นับเป็นรุ่นใหม่ จนถึงการเปิดตัว AirPods Pro 3 ในปี 2025 นี้


