กลับมาถึงรอบของการอัปเดตไอโฟนรุ่นใหม่ในปีนี้ กับ iPhone 17 Pro และ iPhone 17 Pro Max รอบนี้ มีการเปลี่ยนแปลงในหลายส่วนทั้งดีไซน์ฝาหลัง วัสดุ อัปเกรดกล้องทั้งเลนส์ซูม และกล้องหน้า พร้อมชิปที่แรงขึ้น ใครที่ใช้งาน iPhone 13 Pro หรือเก่ากว่านั้น ถึงรอบเปลี่ยนมาใช้รุ่นนี้ประทับใจแน่นอน
ในภาพรวม iPhone 17 Pro และ Pro Max ของปีนี้ นับว่าให้ความประทับใจได้ในหลายส่วนทั้งประสิทธิภาพตัวเครื่องที่แรงขึ้น กล้องหลัก 48 ล้านพิกเซลทั้ง 3 ระยะ เปลี่ยนวัสดุกลับมาใช้อะลูมิเนียมที่ช่วยระบายความร้อนได้ดีกว่า หลังจากที่ไทเทเนียมเจอปัญหาซีพียูลดการทำงานเมื่อเครื่องร้อน ทำให้ต้องดูกันว่าการเปลี่ยนวัสดุ พร้อมเพิ่ม Vapor Chamber ในปีนี้จะช่วยได้มากแค่ไหน
ข้อดี
iPhone ตัวท็อป สเปกเต็ม จอ 6.3 นิ้ว และ 6.9 นิ้ว ProMotion
กล้อง 48 ล้านพิกเซล ครบทุกระยะ
อัปเกรดกล้องหน้า รองรับ Center Stage ถ่ายรูปแนวนอนแม้ถือเครื่องตั้ง
ตัวเลือกสีใหม่ ส้มคอสมิก ที่ให้สีสันสดใสในรุ่น Pro
ข้อสังเกต
ระดับราคาเริ่มต้น 43,900 / 48,900 บาท
ระยะเลนส์ซูมอยู่ที่ 4x ระยะ 8x เป็นคุณภาพเทียบเท่าเฉยๆ
กลับสู่ อะลูมิเนียม เพิ่มเติมด้วย Unibody
ส่วนสำคัญที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือเรื่องของวัสดุตัวเครื่อง จากเดิมที่ใน iPhone รุ่น Pro แอปเปิล มักเลือกที่จะใช้วัสดุอย่าง สแตนเลสสตีล อัปเกรดไปจนถึงไทเทเนียม แต่สุดท้ายเจอปัญหาเรื่องการระบายความร้อน โดยเฉพาะในบ้านเราทำให้สุดท้ายแล้ว เพื่อประสบการณ์ใช้งานที่ดีที่สุด การกลับมาใช้ตัวเลือกอย่างอะลูมิเนียมจะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ออกไปได้
เมื่อเป็นการนำอะลูมิเนียมมาใช้ แต่เดิมใน iPhone รุ่นธรรมดาก่อนหน้านี้ แม้จะใช้วัสดุอะลูมิเนียมเหมือนกัน แต่หลักๆ แล้วจะเป็นการนำมาใช้เฉพาะบริเวณขอบของตัวเครื่องเท่านั้น ในขณะที่ปีนี้ Apple เลือกใช้ อะลูมิเนียมแบบชิ้นเดียว (Unibody) มาเป็นโครงเครื่อง ประกบกับกระจกทั้งหน้า และหลังเครื่องแทน
การเปลี่ยนมาใช้อะลูมิเนียมนี้ หลักๆ คือเข้ามาช่วยในเรื่องของการระบายความร้อนที่แอปเปิลระบุว่า นำความร้อนได้ดีกว่าไทเทเนียมถึง 20 เท่า เมื่อรวบกับระบบระบายความร้อน Vapor Chamber ที่ใส่มา จะช่วยให้สามารถใช้งาน iPhone 17 Pro ได้เต็มประสิทธิภาพยาวนานกว่า iPhone 16 Pro ถึง 40%
ส่วนกระจกหน้า และหลังที่ใช้เป็น Ceramic Shield คนละรุ่นกัน ในส่วนของหน้าจอจะใช้ Ceramic Shield 2 ที่เพิ่มความแข็งแรง และลดรอยขีดข่วนได้ดีขึ้น 3 เท่า พร้อมเคลื่อบสารลดแสงสะท้อนบนหน้าจอมาให้ด้วย ส่วนกระจกที่ฝาหลัง จะเป็น Ceramic Shield รุ่นแรก ที่มีความแข็งแรงเช่นกัน แต่จะครอบอยู่ในส่วนของบริเวณ MagSafe หลังเครื่องแทน
สำหรับหน้าจอของ iPhone 17 Pro และ iPhone 17 Pro Max ยังคงเป็น Super Retina XDR ที่มากับเทคโนโลยี ProMotion 120Hz เช่นเดิม ในขนาด 6.3 นิ้ว และ 6.9 นิ้ว ไม่ได้มีการปรับขนาดของหน้าจอแต่อย่างใด เพิ่มเพียงความสว่างหน้าจอสูงสุดในส่วนของ HDR ขึ้นมาที่ 3,000 nits เพื่อให้รองรับการใช้งานกลางแจ้งได้ดีขึ้น
ขณะที่ในส่วนของแถบกล้องหลัง Apple มีการปรับดีไซน์ให้เป็นเหมือนเนินสูงขึ้นมาจากตัวเครื่อง โดยในภาษาอังกฤษใช้คำว่า Plateau ถ้าแปลตรงตัวคือ ที่ราบสูง แต่บ้านเราใช้คำว่า เนิน น่าจะแทนส่วนที่หนาขึ้นมาจากตัวเครื่องปกติได้ดีกว่า
ภายในของ ‘เนิน’ นี้ นับเป็นจุดเริ่มต้นในการออกแบบใหม่ ที่ช่วยเพิ่มพื้นที่ให้สามารถจัดวางชิปเซ็ตต่างๆ ได้มากขึ้น พร้อมกับเปลี่ยนพื้นที่ภายในบางส่วนให้กับแบตเตอรีที่มีขนาดใหญ่ขึ้น โดย iPhone 17 Pro Max รุ่นที่วางจำหน่ายในสหรัฐฯ หรือบางประเทศ ซึ่งรองรับเฉพาะ eSIM จะให้แบตเตอรีที่ใหญ่กว่ารุ่นที่ขายในไทย ซึ่งมากับถาดใส่ซิมด้วย
ความแข็งแรงของตัวเครื่อง ยังทนน้ำกันฝุ่นระดับ IP68 อยู่เช่นเดิม ส่วนใครที่เคยใช้งานรุ่นที่เป็นอะลูมิเนียมมาก่อน อาจจะต้องระวังในเรื่องของการทำตก หรือมีโอกาสที่สีจะลอกได้ เพราะความแข็งแรงของตัวเครื่องจะไม่เทียบเท่ากับไทเทเนียมอย่างแน่นอน
ชุดกล้องหลัก 48 MP กล้องหน้า Center Stage
จุดที่ใครหลายคนรอคอย คงหนีไม่พ้นการอัปเกรดกล้องซูม หรือเลนส์ Telephoto ที่ในรอบนี้ ตอนเปิดตัวทุกคนคาดหวังกับระยะซูม 8x แต่พอมาดูจริงๆ แล้วระยะเลนส์ Optical ที่แท้จริงจะอยู่ที่ 4x หรือเทียบเท่าระยะ 100 มม. เท่านั้น จนทำให้ใครหลายๆ คนที่เป็นสายคอนเสิร์ตผิดหวังกันไป
โดย Apple เลือกใช้คำที่แสดงให้เห็นว่าจากเลนส์ซูม 48 ล้านพิกเซล จะสามารถครอบภาพที่ระยะ 8x หรือ 200 มม. ออกมาใช้งานได้โดยไม่สูญเสียรายละเอียด หรือเท่ากับความละเอียด 12 ล้านพิกเซลที่ใช้งานกัน ซึ่งนี่ไม่ใช่ครั้งแรกของระบบ Fusion Camera เพราะในเลนส์หลักก็มีการเล่นคำกับการถ่ายระยะ 1x และ 2x แบบไม่เสียรายละเอียดมาแล้ว
จากชุดเลนส์ Fusion 48 ล้านพิกเซล ทั้ง 3 ระยะของ iPhone 17 Pro ทำให้ในปีนี้ จะสามารถใช้ถ่ายไล่ตั้งแต่ระยะมาโคร มุมกว้าง 13 มม. เลนส์ปกติ 24 มม. 28 มม. 35 มม. และเลนส์ซูมที่ 100 มม. และ 200 มม. ที่ยังสามารถนำไปใช้งานต่อได้ด้วย
ทั้งนี้ เมื่อลองนำไปใช้งานในการซูมภาพ ถ้าเทียบกับ iPhone 16 Pro แน่นอนว่าได้รายละเอียดที่คมชัดมากขึ้น แต่กลับกันถ้าไปเทียบกับแฟลกชิปของฝั่งแอนดรอยด์ที่ให้กล้องระดับ 200 ล้านพิกเซลมา แน่นอนว่ายังสู้กันไม่ได้อยู่เช่นเดิม ดังนั้นถ้าใครสายคอนเสิร์ตซูมไกล อาจยังไม่ตอบโจทย์ แต่ถ้าชอบโทนสี และความนิ่งในการถ่ายวิดีโอคุณภาพสูง iPhone ยังเป็นอันดับต้นๆ อยู่เช่นเดิม
อีกส่วนที่มีประโยชน์ต่อผู้ใช้งานแน่นอนคือกล้องหน้า Center Stage 18 ล้านพิกเซล ที่นำแนวคิดเดียวกับกล้องแอคชันแคม ที่ใช้เซ็นเซอร์แบบจัตุรัสมาใช้งาน ทำให้เวลาที่ต้องการถ่ายภาพเซลฟี่แม้ว่าจะถือเครื่องแนวตั้งอยู่ ก็สามารถครอบเซ็นเซอร์เพื่อถ่ายภาพในแนวนอนได้ จากที่ก่อนหน้านี้ถ้าต้องการถ่ายแนวนอนเราจะต้องเอียงเครื่องให้เป็นแนวนอนด้วย
นอกจากนี้ เมื่อเซ็นเซอร์มีขนาดใหญ่ขึ้น ประกอบกับเลนส์มุมกว้างมากขึ้น ทำให้รองรับความสามารถอย่าง “จัดให้อยู่ตรงกลาง” หรือ Center Stage ที่ใช้งานกับใน MacBook หรือ iPad กันมาก่อนหน้านี้แล้วเวลาใช้งานวิดีโอคอลล์ และยังมีฟีเจอร์ใหม่อย่างการถ่ายวิดีโอกล้องหน้า และหลังพร้อมกันมาให้ด้วย
สายถ่ายวิดีโอ ก็ยังได้ความสามารถแบบจัดเต็ม ที่รองรับทั้ง ProRes ProRes RAW ถ่าย Log ที่เก็บความละเอียดได้ 4K 120 fps รองรับการการเชื่อมต่อ SSD ภายนอกเพื่อถ่ายวิดีโอเช่นเดิม ระบบจัดการเสียง Pro Audio ในการควบคุม ประมวลผลการทำงานของไมค์ ที่ปรับแต่งหลังถ่ายอย่าง Audio Mix การลดเสียงลม ปรับแก้ไขเสียงวิดีโอต่างๆ ก็มีมาให้ครบ
ชิป A19 Pro อัดตัวเร่ง AI มาใน GPU
การอัปเกรด iPhone ย่อมมากับชิปใหม่ ในปีนี้ถึงคราวของ A19 Pro ที่มากับซีพียู 6 คอร์ เร็วกว่าเดิม 20% และ GPU 6 คอร์ เร็วกว่าเดิม 50% ซึ่งความพิเศษก็คือในคอร์ของ GPU มีการเพิ่มตัวเร่งสำหรับการประมวลผล AI เพิ่มเข้าไปด้วย รวมถึง Neural Engine อีก 16 คอร์ เพื่อใช้ประมวลผล Apple Intelligence
ดังนั้น ในเรื่องของประสิทธิภาพ ถ้านำมาใช้เล่นเกมต่างๆ ถือว่าทำได้ลื่นไหลแบบสบายใจได้อยู่แล้ว เพียงแต่ก็ต้องดูกันในระยะยาวถึงเรื่องความร้อน ที่แม้ว่าจะใช้งานเต็มประสิทธิภาพได้ยาวนานขึ้น แต่ถ้าใช้งานในสภาพอากาศที่ร้อน สุดท้ายก็จะมีการจำกัดความเร็วในการประมวลผลเช่นเดิม
แม้ว่าตัวเครื่องจะใช้สถาปัตยกรรม 3 นาโนเมตร เช่นเดิม แต่แอปเปิล เคลมว่า แบตเตอรีบน iPhone 17 Pro เล่นวิดีโอได้ต่อเนื่อง 31 ชั่วโมง ส่วน iPhone 17 Pro Max ใช้งานได้สูงสุด 37 ชั่วโมง และรองรับการชาร์จเร็ว 50% ภายใน 20 นาที (แต่ต้องใช้งานร่วมกับอะเดปเตอร์ 40W ขึ้นไป) และ 50% ใน 30 นาที สำหรับชาร์จไร้สาย MagSafe
ถัดมาในส่วนของ การเชื่อมต่อ Apple ยังไม่ได้นำชิปโมเด็มที่ผลิตเองอย่าง Apple C1x ที่อยู่บน iPhone Air มาใช้งานในสินค้าหลักอย่าง iPhone 17 และ iPhone 17 Pro ทำให้เครื่องยังรองรับการใช้งาน 5G 4G ทั้งผ่านนาโนซิม และ eSIM คู่ได้อย่างปกติ
แต่ในรุ่นนี้มีการนำชิป Apple N1 ที่เป็นชิปการเชื่อมต่อไร้สายอย่าง WiFi 7 และบลูทูธ 6 รวมถึงเครือข่ายอุปกรณ์ IoT อย่าง Thread มาใช้งานแล้ว และยังรวมไปถึง Ultrawideband (UWB) ที่มาช่วยระบุตำแหน่งอย่างแม่นยำ และการเชื่อมต่อดาวเทียม (ในประเทศที่รองรับ) มาให้ครบเช่นเดิม
สรุป
ใครที่อยากได้ iPhone ตัวจบ ใช้งานได้ครบถ้วน จัดเต็มกล้องสุด รุ่น Pro ยังเป็นคำตอบ ที่เหลือก็เลือกขนาดที่ต้องการใช้งาน อย่างไรก็ตามแม้จะเปลี่ยนวัสดุเป็นอะลูมิเนียม แต่ด้วยความแรงของชิป A19 Pro ใช้งานหนักไปนานๆ ความร้อนตัวเครื่องก็ยังตามมาอยู่เช่นเดิม ยังไม่หายขาด