การเปิดตัว iPhone Air โดยที่ไม่มีชื่อรุ่นตัวเลขมาด้วย ทำให้คาดการณ์กันไปได้ว่า นี่นับเป็นไลน์อัปใหม่ที่แยกออกจากกลุ่มสินค้า iPhone ปกติ และมีโอกาสที่จะไปต่อ หรือพัฒนากลายเป็นสินค้าใหม่ต่อไปในอนาคตก็ได้
ความน่าสนใจของรุ่นนี้ก็คือ ถ้าใครได้สัมผัส จะมีความรู้สึกอยากถือใช้งานกัน แต่ด้วยข้อจำกัดหลายๆ ด้านทั้งเรื่องของกล้อง และแบตเตอรี ทำให้นี่อาจจะไม่ใช่สมาร์ทโฟนเครื่องหลักของใครหลายคน แต่ก็พลาดไม่ได้ที่จะถือใช้งาน
ข้อดี
iPhone ที่บางที่สุด 5.6 มม.
หน้าจอ 6.5 นิ้ว ProMotion รุ่นแรกของ Apple
วัสดุไทไทเนียม พร้อมกระจก Ceramic Shiled
รุ่นแรกที่ใช้ชิปผลิตเองทั้ง A19 N1 และ C1X
ข้อสังเกต
แบตเตอรี อาจไม่เพียงพอกับการใช้งานใน 1 วัน
มีกล้องหลัก Fusion Camera ให้เลนส์เดียวเท่านั้น
รองรับเฉพาะ eSIM เท่านั้น
โดดเด่นที่บาง และแข็งแรง
จากแนวคิดในการออกแบบภายในใหม่ของ Apple เพิ่มพื้นที่ส่วนเนิน (Plateau) ขึ้นมาตรงชุดโมดูลกล้องด้านหลัง ทำให้กลายเป็นพื้นที่แห่งโอกาสในการปรับรูปแบบการดีไซน์สมาร์ทโฟนให้มีความบางได้มากกว่าเดิม
นี่จึงกลายเป็นที่มาของ iPhone Air ไอโฟนที่บางที่สุดของ Apple (ไม่นับ iPad Pro 13 นิ้ว ที่มีตัวเครื่องขนาดใหญ่กว่า) พื้นที่ส่วนใหญ่ของตัวเครื่องถูกแบ่งให้แบตเตอรี ซึ่งรวมถึงการตัดพื้นที่ของถาดซิมออก ทำให้กลายเป็น iPhone รุ่นที่รองรับเฉพาะ eSIM และวางจำหน่ายไปทั่วโลกรุ่นแรก
ด้วยความบางของ iPhone Air ทำให้ขนาดตัวเครื่องอยู่ที่ 156.2 x 74.7 x 5.64 มิลลิเมตร น้ำหนัก 165 กรัมเท่านั้น สีที่วางจำหน่ายประกอบด้วยสีดำ Space Black สีขาว Cloud White สีทอง Light Gold และสีฟ้า Sky Blue โดยยังคงใช้วัสดุไทเทเนียมเช่นเดิม เสริมความแข็งแรงด้วยกระจก Ceramic Shield 2 ด้านหน้า และ Ceramic Shield รุ่นแรกที่ด้านหลัง
หน้าจอที่ให้มายังเป็น Super Retina XDR ที่เป็นจอ ProMotion 120 Hz ให้ความสว่างสูงสุด 3,000 nits ทั้งไลน์อัปของ iPhone 17 ในปีนี้ โดย iPhone Air จะได้ขนาดหน้าจอที่ 6.5 นิ้ว นับว่าใหญ่กว่า iPhone 17 และ iPhone 17 Pro แต่ยังเล็กกว่า iPhone 17 Pro Max อยู่
แม้ว่าตัวเครื่องบางลง แต่ปุ่มควบคุมต่างๆ ทั้ง ปุ่ม Action ปุ่มควบคุมกล้อง ปรับระดับเสียง เรียกใช้งาน Apple Intelligence ต่างๆ ยังให้มาครบ รวมถึงพอร์ต USB-C ที่เป็น USB 2.0 มาให้ด้วย เสียดายที่ลำโพงให้มาเป็นแบบ Mono เท่านั้น ไม่ได้เป็นสเตอรีโอเหมือนรุ่นอื่น
ในแง่ของความแข็งแรง Apple ได้ทำการทดสอบแรกกดบริเวณกลางตัวเครื่องให้ดู โดยการันตีว่าสามารถป้องกันแรงบิดงอได้ถึง 40 กิโลกรัม ซึ่งตัวเครื่องจะเกิดการโค้งตัวตามแรงกด แต่เมื่อแรงกดหายไปก็จะคลายตัวกลับมาใช้งานได้ตามปกติ เรียกได้ว่าให้ความมั่นใจในการถือใช้งาน และยังอยู่บนมาตรฐานของ IP68 ด้วย
เบื้องหลังของความบางมาจากการที่ Apple มีการจัดระเบียบชิปเซ็ตภายในเครื่องใหม่ นำชิปสำคัญๆ ทั้ง Apple A19 Pro ที่ใช้ประมวลผล Apple N1 ที่เป็นชิปไร้สายอย่าง WiFi 7 บลูทูธ 6 และเครือข่าย Thread และชิปโมเด็ม Apple C1X ที่ใช้เชื่อมต่อ Cellular มาไว้ภายในบริเวณเนินของกล้อง
โดยชิป A19 Pro ที่อยู่ใน iPhone Air จะยังไม่ใช่รุ่นท็อปสุดเหมือนใน iPhone 17 Pro เพราะในรุ่นนี้ จะมากับ 6 คอร์ CPU และ 5 คอร์ GPU รวมกับ 16 คอร์ Neural Engine แทน และแน่นอนว่าเมื่อวัสดุยังเป็นไทเทเนียม ก็ยังมากับความร้อนที่สะสมจากการใช้งานหนักๆ ด้วย
นอกจากนี้ การที่ใช้ชิปที่ผลิตเอง ทำให้ Apple สามารถควบคุมประสิทธิภาพ และบริหารจัดการพลังงานได้ดีขึ้น จนทำให้แม้แบตเตอรีของ iPhone Air จะอยู่ที่ 3,149 mAh แต่ยังสามารถใช้ดูวิดีโอได้ต่อเนื่อง 27 ชั่วโมง ดังนั้นถ้าเป็นการใช้งานทั่วไป ไม่ได้เล่นเกม หรือถ่ายรูป วิดีโอต่อเนื่อง จะใช้งานได้สบายๆ ใน 1 วัน
Fusion 48 MP กล้องเดียวสารพัดประโยชน์
กล้องกลายเป็นส่วนที่ทำให้ใครหลายคนตัดสินใจที่จะมองข้าม iPhone Air ไป เนื่องจากให้กล้องมาแค่ Fusion 48 ล้านพิกเซล ให้ระยะเทียบเท่า 26 มม. สามารถปรับระยะครอบเซ็นเซอร์เข้าไปได้ที่ 28 มม. 35 มม. และ 52 มม. โดยที่ยังได้รูปภาพที่มีคุณภาพให้ใช้งานกันอยู่
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะเป็นกล้องเลนส์เดียว แต่ Apple ยังใส่ความสามารถในการถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอมาให้ ด้วยการใช้เทคนิคของการประมวลผลภาพ และ AI มาช่วย ทำให้สามารถถ่ายภาพ Portrait ได้ รวมถึงการปรับจุดโฟกัส หลังการถ่ายภาพก็ได้
สิ่งที่ขาดไปจึงกลายเป็นเลนส์มุมกว้าง และเลนส์ซูม ซึ่งถ้าไม่ใช่คนที่ถ่ายรูปมากนัก หรือมีอีกเครื่องใช้งานเพื่อถ่ายรูปเป็นหลักอยู่แล้ว iPhone Air จะตอบโจทย์ ในแง่ของการพกพาใช้งาน ได้ความหรูหราของไทเทเนียม ความบาง และความเบา
เช่นเดียวกับ iPhone 17 รุ่นอื่นในไลน์อัปของปีนี้ iPhone Air ได้รับกล้องหน้าแบบ Center Stage 18 ล้านพิกเซล ที่เป็นเซ็นเซอร์จัตุรัสมาเช่นเดียวกัน ทำให้สามารถใช้ถ่ายภาพเซลฟี่ทั้งแบบคนเดียว หรือแบบกลุ่มได้ง่ายขึ้น รวมถึงการถ่ายวิดีโอจากกล้องหน้า และหลังพร้อมกันด้วย
สรุป
ในภาพรวม iPhone Air นับเป็นสมาร์ทโฟนที่น่าใช้งาน ถ้าไม่นับเรื่องของกล้องที่ให้มาระยะเดียว ตัวเครื่องให้ความบาง และสัมผัสที่ดี ให้ความหรูหราในการถือใช้งาน แต่ก็แลกรับราคาที่ต้องจ่ายเริ่มต้นที่ 39,900 บาท