xs
xsm
sm
md
lg

Review : Samsung Galaxy S25 Ultra ปรับขึ้นนิดให้ลงตัว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นใน Galaxy S25 Ultra รวมถึง S25 และ S25+ ในรอบนี้ ซัมซุง เน้นไปที่การนำเสนอเรื่องของ Galaxy AI ที่ทำงานร่วมกับ Google มากยิ่งขึ้นเป็นหลัก ทำให้ในภาพรวมแล้วถ้าเป็นผู้ที่ใช้งาน S24 ซีรีส์ หรือแม้แต่ S23 เอง อาจยังไม่ถึงรอบที่จำเป็นต้องเปลี่ยนมาใช้งาน ถ้าไม่ได้ใช้ฟีเจอร์ในเรื่องของ AI

ในขณะเดียวกัน ถ้าใช้ Galaxy S22 หรือรุ่นก่อนหน้า จนถึงแอนดรอยด์ค่ายอื่นๆ แล้วมองหาตัวเลือกแฟลกชิป Android ที่จะเปลี่ยนในปีนี้ Galaxy S25 Ultra นับเป็นสมาร์ทโฟนที่น่าลงทุนมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้งาน ประสิทธิภาพ และการอัปเดตใช้งานในระยะยาว


ข้อดี
แฟลกชิปสมาร์ทโฟนครบเครื่อง แรง กล้องดี มี AI
หน้าจอ Dynamic AMOLED 2X ตัดแสงสะท้อน
กล้องหลัก 200 MP กล้องมุมกว้าง - ซูม 50 MP
ตัวเครื่องเบาลง 218 กรัม
OneUI 7 ทำได้สวยงาม ลื่นไหลมากขึ้น

ข้อสังเกต

จอเดิม กล้องหลัก-ซูมเดิม เมื่อเทียบกับ S24 Ultra
ปากกา S Pen ตัดบลูทูธออกไป
Galaxy AI ใช้ Gemini Advanced ฟรี 6 เดือน หลังจากปรับลงเป็นเวอร์ชันฟรี

ดีไซน์ใหม่ ตัดขอบเหลี่ยม



จุดเปลี่ยนหลักของ S25 Ultra ในรอบนี้ ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือการปรับดีไซน์มาเป็นตัดขอบเหลี่ยม และเพิ่มความโค้งบริเวณมุมตัวเครื่องทั้ง 4 ด้านให้มีความสมมาตรมากขึ้น ขณะเดียวกันยังปรับหน้าจอให้เป็นแบบจอแบน (Flat) จากที่ก่อนหน้าที่ Galaxy S ซีรีส์ นำเสนอนวัตกรรมหน้าจอด้วยขอบจอโค้งมานานหลายรุ่น


ในส่วนของสเปกหน้าจอน่าเสียดายที่ไม่ได้มีการปรับฮาร์ดแวร์เพิ่มแต่อย่างใด โดยใช้หน้าจอ Dynamic AMOLED 2X 6.9 นิ้ว ความละเอียด Quad HD+ (3120 x 1440 พิกเซล) เช่นเดิม (ถ้าอยากใช้จอความละเอียดสูงต้องเข้าไปเลือก QHD+ เอง) หน้าจอยังมากับ Refresh Rate 120 Hz ความสว่างหน้าจอยังอยู่ที่ 2,600 nits เช่นเดิม

เทียบการลดแสงสะท้อนระหว่าง Fold6 และ S25 Ultra จะเห็นว่าจอ S25 Ultra คมกว่า
ข้อดีของหน้าจอ S25 Ultra คือมากับการเคลือบสารกันแสงสะท้อน ทำให้เวลาใช้งานในสภาพแวดล้อมต่างๆ เห็นความคมชัดของหน้าจอเต็มที่มากขึ้น พร้อมกับปรับการประมวลผลภาพหน้าจอให้รายละเอียดที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ถ้าเทียบกับแฟลกชิปของ OPPO หรือ vivo ในตลาดตอนนี้ เร่งความสว่างหน้าจอขึ้นไปที่ 4,500 nits กันแล้ว ถือว่ายังตามอยู่ค่อนข้างมาก

ตัวเครื่องบางลงเหลือ 8.2 มม.
สิ่งที่เปลี่ยนแปลงตามมาจากดีไซน์คือน้ำหนักของตัวเครื่องที่เบาลงเหลือ 218 กรัม จากการปรับมาใช้วัสดุไทเทเนียม กับกระจก Gorilla Armor 2 ที่เป็นเซรามิก นอกจากเพิ่มความแข็งแรงแล้ว ยังมาช่วยในเรื่องการลดแสงสะท้อนที่กล่าวถึงไปก่อนหน้านี้ด้วย

ฟีเจอร์ Now Bar ช่วยให้ข้อมูลแบบเร็วๆ
ใต้หน้าจอของ S25 Ultra ยังมากับเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบ Ultra Sonic เช่นเดิม ซึ่งถ้าใครจะใช้กระจกกันรอยหน้าจอ อาจต้องทดสอบด้วยว่าติดแล้วยังใช้งานเซ็นเซอร์สแกนได้หรือไม่ เพราะวัสดุกระจกบางประเภทจะทำให้ไม่สามารถสแกนได้

ปากกา S Pen ตัดบลูทูธออกไปแล้ว
รอบตัวเครื่องยังมากับปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มเปิดเครื่อง ที่ปรับให้กดค้างเพื่อเรียกใช้งาน Galaxy AI ด้วย พอร์ตเชื่อมต่อยังเป็น USB-C 3.2 Gen 1 สามารถเชื่อมต่อจอเพื่อใช้งานเป็น DeX ได้ ตัวเครื่องรองรับนาโนซิม 2 ซิม ไม่สามารถเพิ่มพื้นที่เก็บข้อมูล และมี S Pen อยู่ที่มุมซ้ายล่าง


ภายในยังมากับแบตเตอรี่ 5000 mAh โดยที่ยังรองรับการชาร์จเร็วที่ 45W เท่าเดิม ไม่ได้มีการอัปเกรดเพิ่มเติมในส่วนนี้ แต่มีการปรับเพิ่มในส่วนของการชาร์จไร้สายให้รองรับ Qi 2 โดยยังคงความเร็วในการชาร์จไว้ที่ 15W

เทียบประสิทธิภาพ Galaxy S25 Ultra - iPhone 16 Pro Max
อย่างไรก็ตาม การที่ S25 Ultra มากับชิปใหม่ Snapdragon 8 Elite for Galaxy ที่ให้การประมวลผลที่แรงขึ้นแล้ว ยังช่วยในเรื่องของการประหยัดพลังงานเพิ่มเติมด้วย ส่งผลให้ตัวเครื่องใช้งานแบตเตอรี่ได้ยาวนานขึ้น ขณะเดียวกันยังมาเสริมในเรื่องการประมวลผล Galaxy AI ด้วย

กล้องปรับโทนสีใหม่ เข้าใจคนใช้มากขึ้น



จากโจทย์ที่ซัมซุงเจอ ตอน Galaxy S24 Ultra คือเรื่องคุณภาพ และโทนสีของกล้องมีความสมจริงมากเกินไป จนกลายเป็นหลายคนชอบโทนสีของ Galaxy S23 มากกว่า พอมาในรอบนี้ S25 Ultra ปรับปรุงซอฟต์แวร์ในการประมวลผลภาพใหม่ ให้สีที่ถูกจริตคนไทยมากขึ้น

เพียงแต่ว่าในส่วนของฮาร์ดแวร์กล้องนอกจากตัวเลนส์มุมกว้างที่เพิ่มความละเอียดเป็น 50 ล้านพิกเซลแล้ว กลายเป็นว่าเลนส์ระยะอื่นใช้เซ็นเซอร์เดิมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเลนส์หลัก 200 ล้านพิกเซล เลนส์เทเลโฟโต้ 3x 10 ล้านพิกเซล และเลนส์ 5x ที่ 50 ล้านพิกเซล


น่าเสียดายที่ ซัมซุง ยังไม่นำเซ็นเซอร์รุ่นใหม่ที่ผลิตได้อย่างเลนส์ซูม 200 ล้านพิกเซล ที่ปัจจุบันขายให้สมาร์ทโฟนแบรนด์อื่นนำไปใช้งาน มาใช้ใน S25 Ultra ทำให้กลายเป็นว่าในตอนนี้ถ้าเทียบคุณภาพของการถ่ายคอนเสิร์ต สมาร์ทโฟนแบรนด์จีนอย่าง OPPO และ vivo กลับทำได้ดีกว่าในเรื่องของภาพนิ่ง

ส่วนจุดแข็งของ ซัมซุง ยังอยู่ที่งานวิดีโอ เพราะถ้าเทียบกันในกลุ่มของสมาร์ทโฟน Android กล้องของ S25 Ultra ยังนับว่าให้คุณภาพที่ไว้ใจได้มากที่สุด โดยเฉพาะการถ่ายวิดีโอซูมระยะไกล และมีการปรับปรุงในเรื่องของการเปลี่ยนเลนส์ระหว่างถ่ายให้มีความลื่นไหลมากขึ้นด้วย


อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพนิ่ง ส่วนใหญ่ถ่ายในสภาพแสงทั่วไป หรือในที่แสงน้อยใช้เลนส์ระยะหลักทั้ง 3 เลนส์ (ไม่ได้ซูมไกลมาก) S25 Ultra ให้ภาพที่คมชัด และเพียงพอกับการใช้โพสต์ลงโซเชียลเพื่อแชร์กันแล้ว หรือถ้าต้องการไฟล์ละเอียดๆ สามารถเลือกถ่ายโหมดความละเอียดสูง หรือถ่าย RAW ไปใช้งานก็ยังได้

Galaxy AI ถ้าไม่ได้ใช้ ก็ไม่มีประโยชน์


Gemini Advance เชื่อมต่อกับปฏิทิน บันทึกตารางนัดหมายอัตโนมัติ
กลับมายังฟีเจอร์ที่ Samsung เน้นหนักต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่แล้ว จนถึงปีนี้คือ Galaxy AI ที่เป็นการนำเสนอนวัตกรรมบนสมาร์ทโฟนยุคใหม่ ที่จะมาช่วยให้การใช้งานะสะดวกขึ้น โดยในรอบนี้ Galaxy AI รองรับการสั่งงานภาษาไทยเต็มรูปแบบแล้ว และยังถือว่าแกะคำได้แม่นมากๆ ด้วย

เพียงแต่ยังต้องรอดูกันหลังจาก 6 เดือน ที่ผู้ใช้งาน S25 Ultra ซึ่งซื้อเครื่องใหม่จะได้รับสิทธิในการใช้งาน Gemini Advanced ฟรี 6 เดือน โดยหลังจากนั้นถ้าไม่ยกเลิกจะมีค่าบริการเดือนละ 750 บาท และถ้าไม่ต่อก็จะปรับลงมาเหลือ Gemini ที่มีความสามารถลดลง


เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว ใครที่กดรับสิทธิทดลองไป อย่าลืมยกเลิกสมัครใช้งาน ไม่เช่นนั้นพอโดนเก็บค่าบริการขึ้นมาจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมไปเปล่าๆ และค่อยรอดูกันว่าความสามารถของ Galaxy AI อย่างการสั่งงานข้ามแอปจะหายไปหรือไม่ หรือยังใช้งานได้ต่อเนื่องแม้เป็น Gemini ธรรมดา

ฟีเจอร์ Best Face
อย่างไรก็ตาม Galaxy AI ยังมีฟีเจอร์ที่เป็นประโยชน์ในเรื่องของการแต่งรูป จากปีที่แล้วนำเสนอเรื่องการลบวัตถุ เติมภาพ ปรับแต่งภาพต่างๆ ในปีนี้ ซัมซุง นำโหมดการถ่ายภาพนิ่งแบบ Motion (เก็บภาพเป็นคลิปสั้นๆ) มาใช้งานในการถ่ายภาพหมู่ที่มีหลายๆ คน

มานำเสนอเป็นฟีเจอร์อย่าง Best Face ที่หลังถ่ายภาพ สามารถเลือกใบหน้าที่ดีที่สุดของแต่ละคนได้ ทำให้การถ่ายภาพหมู่หลังจากนี้ ไม่ต้องมาคอยดูว่าหน้าใครพร้อมหรือไม่พร้อม เพราะถ่ายเสร็จแล้วค่อยมาปรับก็ยังได้

ฟีเจอร์ Audio Eraser
นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์ที่นำไปใช้กับวิดีโออย่าง Audio Eraser ในการใช้ AI วิเคราะห์เสียงในวิดีโอ และทำการปรับแต่งเสียงตามที่ต้องการ อย่างเช่นถ่ายวิดีโอในงานคอนเสิร์ต มีเสียงรบกวน เสียงพูดคุย ก็สามารถปรับลดเสียงเหล่านั้นลง และเร่งเสียงร้อง และเสียงดนตรีให้ดังขึ้นได้ ซึ่งฟีเจอร์นี้น่าจะได้ใช้งานกันหลายคน

สรุป



การอัปเกรด Galaxy S25 Ultra รอบนี้ ถ้าใครไม่ได้มองว่า Galaxy AI มีความจำเป็น และเพิ่งเปลี่ยนเครื่องมา 1-2 ปี ใช้งานต่อไปก่อนแล้วรออัปเกรดใหญ่ใน S26 Ultra ปีหน้าก็ยังไม่สายเกินไป แต่ถ้าได้ประโยชน์จาก Galaxy AI ต้องการเครื่องใหม่ ที่เร็ว และแบตอึดขึ้น เข้าโปรแกรมเทรดอิน นำเครื่องเก่าไปเป็นส่วนลด ได้ S25 Ultra มาใช้งานต่อก็ดี

อย่างไรก็ตาม ส่วนที่ทำให้ Galaxy S25 Ultra ยังมีความน่าสนใจในการเป็นแฟลกชิปคือเรื่องของการอัปเดตระบบปฏิบัติการ และความปลอดภัยต่อเนื่อง 7 ปี ทำให้มั่นใจได้ว่า หลังซื้อไปใช้งานแล้วจะยังถือใช้งานได้ต่อเนื่องยาวๆ รวมถึงระบบการป้องกันแอปเถื่อนอย่าง Auto Blocker ที่มาช่วยปิดกั้นการติดตั้งแอปนอกสโตร์ด้วย


กำลังโหลดความคิดเห็น