เป็นอีกครั้งที่ Apple ออกมาตอกย้ำประสิทธิภาพในการใช้งานโน้ตบุ๊ก ที่นอกจากแรง และประหยัดพลังงาน ยังเสริมด้วยออปชันเพิ่มเติมที่เข้ามาตอบโจทย์กลุ่มผู้ใช้งานเฉพาะด้าน เพราะใน MacBook Pro ที่มากับชิปตระกูล M4 ซีรีส์ รอบนี้ เพิ่มตัวเลือกหน้าจอลดแสงสะท้อนแบบ Nano-Texture มาให้เลือกใช้งานด้วย
ในแง่ของประสิทธิภาพตัวเครื่อง ชิปในตระกูล M4 ทั้ง M4 M4 Pro และ M4 Max แสดงให้เห็นถึงความแรงที่ยอดเยี่ยม รองรับการทำงานทุกรูปแบบตามความต้องการของผู้ใช้อยู่แล้ว ประกอบกับการที่รอบนี้ Apple อัปเกรด RAM หรือหน่วยความจำพื้นฐานขึ้นมาเป็นเริ่มต้นที่ 16 GB ยิ่งทำให้ MacBook Pro ในรอบนี้น่าใช้งานมากขึ้นไปอีก
ข้อดี
ชิป M4 ซีรีส์ ที่มากับประสิทธิภาพสูง พกพาได้
ตัวเลือกขนาดหน้าจอ 14 นิ้ว 16 นิ้ว ที่ได้ประสิทธิภาพเท่ากัน
อัปเกรดเพิ่มเป็นหน้าจอ Nano-Texture สำหรับผู้ที่ต้องการความแม่นยำของสีหน้าจอได้
แบตเตอรี่ใช้งานต่อเนื่องสูงสุด 24 ชั่วโมง
ข้อสังเกต
ราคาค่อนข้างสูง แต่แลกกับประสิทธิภาพ
ตัวเครื่องยังรองรับแค่ WiFi 6E ยังไม่อัปเกรดเป็น WiFi 7
MacBook Pro ชิป M4 มีเฉพาะจอ 14 นิ้ว
ดีไซน์เดิม ที่ยังลงตัว
ในไลน์อัปของ MacBook Pro เพิ่งมีการอัปเดตรูปลักษณ์ใหม่มาเป็นขนาดหน้าจอ 14.2 นิ้ว และ 16.2 นิ้ว ในยุคของ MacBook Pro M1 Pro และ M1 Max ซึ่งเริ่มทำตลาดตั้งแต่ช่วงปลายตุลาคมปี 2021 นับถึงปัจจุบันก็คือใช้งานมา 3 ปีแล้ว แต่ยังนับว่าเป็นดีไซน์ที่ลงตัวอยู่
เพราะนอกจากได้หน้าจอที่เลือกได้ว่าอยากได้ 14” มาพกพา หรือ 16” ให้ใช้งานได้เต็มตา ยังมากับพอร์ตเชื่อมต่อที่เพียงพอกับการทำงานในยุคนี้ ตั้งแต่มีพอร์ต MacSafe มาให้ใช้ชาร์จเครื่อง ซึ่งรองรับถึงการชาร์จเร็ว 50% ภายใน 30 นาที โดยในรุ่น 14” รองรับกำลังชาร์จสูงสุด 96W ส่วน 16” รองรับที่ 140W
ถัดมาในกลุ่มเครื่องที่ใช้ชิป M4 Pro และ M4 Max จะเปลี่ยนพอร์ตมาเป็น Thunderbolt 5 ที่สามารถรับส่งข้อมูลได้ 120 Gb/s เร็วกว่า Thunderbolt 4 ที่ได้ความเร็ว 40 Gb/s หรือเร็วขึ้น 4 เท่า โดยมีมาให้ทางฝั่งซ้าย 2 พอร์ต และขวา 1 พอร์ต ส่วนถ้าเป็นรุ่นชิป M4 จะได้พอร์ต Thunderbolt 4 เหมือนเดิม
นอกจากนี้ คือพอร์ต SDXC การ์ด ช่องเสียบ HDMI และพอร์ต 3.5 มม. มีมาให้ใช้งานครบเช่นเดิม โดยการมีพอร์ตการ์ดรีดเดอร์มาช่วยเพิ่มความสะดวกให้สาย Production ที่ทำงานกับภาพนิ่ง และวิดีโอ ให้โหลดไฟล์ได้รวดเร็ว ไม่ต้องคอยพกฮับเพิ่มเติมเพื่อใช้งาน
หน้าจอที่ให้มายังเป็น Liquid Retina XDR ที่รองรับ ProMotion 120Hz ที่สามารถตั้งอัตราการรีเฟรชหน้าจอไว้ที่ 47.95Hz 48Hz 50Hz 59.94Hz และ 60Hz ไว้เวลาที่ทำงานตัดต่อวิดีโอ แล้วต้องการแสดงผลให้ได้เฟรมเรทที่เหมาะสมกับงานที่ตัดต่อได้ด้วย
สิ่งที่อัปเกรดเพิ่มเติมมาใน MacBook Pro ชิป M4 Pro คือสามารถเชื่อมต่อหน้าจอความละเอียด 6K 60Hz ได้พร้อมกัน 2 จอ ผ่านพอร์ต Thunderbolt และ HDMI กับถ้าต้องการเชื่อมต่อมากขึ้นใน M4 Max จะสามารถต่อจอ 6K 60Hz ได้สูงสุด 3 จอ ผ่าน Thunderbolt และ 4K 144Hz อีก 1 จอ ผ่าน HDMI
เพิ่มตัวเลือก Nano-Texture
จากฐานลูกค้าของ MacBook Pro ที่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มมืออาชีพ ที่ต้องการเครื่องมาใช้ผลิตผลงาน โดยเฉพาะที่ต้องการความแม่นยำของสี โดยเฉพาะเวลาใช้งานในที่สว่างจ้า ทำให้ที่ผ่านมา Apple เริ่มนำเสนอหน้าจอแบบ Nano-Texture หรือหน้าจอลดแสงสะท้อน ช่วยให้ใช้งานได้ในหลากหลายสภาพแสงมากขึ้น
ไล่ตั้งแต่การมีตัวเลือก Nano-Texture ให้ใช้ในหน้าจอราคาสุดแพงอย่าง Pro Display XDR ตามด้วย Studio Display ตามมาด้วยบน iPad Pro M4 ที่เปิดตัวช่วงกลางปีที่ผ่านมา และมาเป็นตัวเลือกใน MacBook Pro M4 ที่ออกมาใหม่นี้
การเคลือบสารลดแสงสะท้อน นับเป็นเทรนด์ที่เกิดขึ้นในยุคที่ครีเอเตอร์เริ่มนำอุปกรณ์ไปใช้งานในหลากหลายสถานที่มากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาถ้าเจอสภาพแสงที่ท้าทาย หรือโดนแสงสะท้อน แม้จะได้ความสว่างจอที่เพิ่มขึ้น แต่ในบางจุดก็ยังไม่เพียงพอ ทำให้การมีตัวเลือกลดแสงสะท้อน จะช่วยให้การทำงานได้ดีขึ้น
อย่างที่เห็นในภาพเมื่อเทียบระหว่างหน้าจอเคลือบแสงสะท้อน และหน้าจอปกติ จะเห็นว่าแหล่งกำเนิดแสงที่เข้ามาในรุ่นปกติจะเห็นเป็นดวงไฟคมๆ สะท้อนหน้าจอออกมาชัดเจน แต่พอเป็นจอที่เคลือบกันแสงสะท้อนแล้วดวงไฟจะมีความฟุ้งๆ กระจายแสงออกไป ทำให้ไม่รบกวนสายตาเวลาทำงาน
ชิปตระกูล M4 ได้ทั้งแรง และประหยัดแบตฯ
สิ่งที่ Apple ได้พิสูจน์มาตั้งแต่ออกชิป M1 อัปเดตมาจนถึง M4 คือเรื่องของประสิทธิภาพที่ได้ เมื่อเทียบกับพลังงานที่ใช้ ซึ่งในตระกูล M4 ที่ใช้การผลิตบนสถาปัตยกรรม 3 นาโนเมตร รุ่นที่ 2 ทำให้ตัวเครื่องได้ประสิทธิภาพที่ดีขึ้น และใช้พลังงานได้น้อยลง
เห็นได้จากระยะเวลาใช้งานบนแบตเตอรี่ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นจอ 14” และรุ่นจอ 16” สามารถใช้ได้ต่อเนื่องสูงสุด 24 ชั่วโมง อย่างการเปิดวิดีโอสตรีมมิ่งต่อเนื่อง ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการจัดการพลังงานเรียกใช้แกนประมวลผลที่เหมาะสมกับงานที่ทำ ทำให้ได้ระยะเวลาการใช้งานต่อเนื่องที่นานสุด
กลับกันถ้าเป็นการใช้งานที่ประมวลผลหนักๆ ระยะเวลาใช้งานก็จะปรับลดลงมา อย่างเช่นในตอนที่มีการเรนเดอร์ไฟล์วิดีโอ หรือกราฟิก 3 มิติ ไปจนถึงการเล่นเกมที่ใช้พลังประมวลผลสูงๆ งานเหล่านี้จะใช้พลังงานค่อนข้างเยอะ แต่ด้วยการที่ตัวเครื่องแรงขึ้นระยะเวลาที่ใช้ในการประมวลผลน้อยลง ทำให้ในภาพรวมแล้วแบตเตอรี่ของ MacBook Pro ก็ยังสามารถใช้งานได้สบายๆ ทั้งวัน
ข้อมูลที่ Apple นำมาเปรียบเทียบให้เห็นถึงความแรงของ MacBook Pro M4 Pro รุ่นนี้ คือในการเรนเดอร์ไฟล์วิดีโอ เมื่อเทียบกับ MacBook Pro 16” ที่ใช้ชิป Intel Core i7 (2019) สามารถเรนเดอร์ไฟล์ได้เร็วขึ้นถึง 21 เท่า ดังนั้นใครที่ใช้งาน MacBook ชิป Intel อยู่คงถึงเวลาที่จะเปลี่ยนได้แล้ว
กลับกันถ้ามาเทียบกับ MacBook Pro M2 Pro ที่ออกมาก่อนหน้า 2 ปี จะเห็นได้ว่าประสิทธิภาพในการประมวลผลเร็วขึ้นชัดเจน อย่างที่เห็นในผลทดสอบของ Geekbench 6 และ Cinebench 2024 จะเห็นคะแนนที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน แม้ว่าจะห่างกันเพียง 2 ปี ในบางการทดสอบอย่าง GPU เพิ่มขึ้นเท่าตัว
ส่วนหนึ่งเกิดจากการออกแบบชิปของ Apple ที่ในตอน M2 Pro มากับซีพียู 12 คอร์ จีพียู 19 คอร์ พอมาเป็น M4 Pro รอบนี้ มีตัวเลือกเป็นซีพียู 14 คอร์ จีพียู 20 คอร์ รวมถึงปริมาณหน่วยความจำ (RAM) ที่เพิ่มขึ้น เมื่อจำนวนคอร์ประมวลผลเพิ่มขึ้น ประสิทธิภาพในการใช้งานก็เพิ่มขึ้นด้วย
สรุป
ในภาพรวมของการอัปเกรด MacBook Pro ชิปตระกูล M4 ในรอบนี้ แน่นอนว่าถ้าใครที่ยังใช้งาน MacBook Pro ชิป Intel อยู่คือถึงเวลาที่จะเปลี่ยนเครื่องได้แล้ว และจะได้ประสบการณ์ใช้งานที่ดีขึ้นแน่นอน
ตั้งแต่รุ่นเริ่ม MacBook Pro M4 14” ที่ 54,900 บาท ก็นับว่าแรง และเหมาะกับการใช้งานทั้งทั่วๆ ไป จนถึงครีเอเตอร์ที่ตัดต่อคลิปวิดีโอสั้น ทำรูปภาพใน Photoshop ไปจนถึงกลุ่มนักพัฒนาที่ใช้เขียนโปรแกรมเบื้องต้น ซึ่งพวกงานเอกสาร หรือใช้งานเว็บเบราว์เซอร์ เป็นงานพื้นฐานไปแล้ว
ส่วนกลุ่มผู้ใช้งานที่ต้องการเครื่องแรงขึ้น MacBook Pro M4 Pro และ M4 Max จะเข้ามาช่วยลดเวลาในการประมวลผล ช่วยให้หลายๆ งานเสร็จได้รวดเร็วมากขึ้นอย่างแน่นอน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ที่ใช้งานเรนเดอร์ไฟล์วิดีโอนานๆ รันโปรแกรมใหญ่ๆ การมีชิปที่แรงขึ้นจะช่วยลดเวลาในการทำงานลงไปได้เยอะ