เชื่อว่าผู้ที่ใช้งาน iPad mini หลายคน คาดหวังการอัปเกรดครั้งใหญ่ให้กับ iPad mini ที่จะขยับขึ้นมาใช้งานชิปประมวลผลตระกูล M เหมือนกับ iPad Air ที่นำร่องไปแล้ว แต่กลายเป็นว่า iPad mini ยังมากับชิป A17 Pro ที่เป็นชิปแฟลกชิปใน iPhone 15 Pro ซึ่งทำให้ IPad mini รุ่นนี้รองรับการใช้งาน Apple Intelligence ด้วย
ตัวเครื่องของ iPad mini รุ่นที่ 7 ยังมากับขนาดหน้าจอเดิมที่ 8.3 นิ้ว Liquid Retina ที่ให้ Refresh Rate 60 Hz เช่นเดิม โดยที่หน้าจอยังมีอาการ Jelly Scroll หรือการที่ผู้ใช้เห็นการเลื่อนหน้าจอขึ้นลงเป็นคลื่นๆ แต่ลดน้อยลงกว่ารุ่นก่อนหน้า เรียกได้ว่าถ้าไม่ได้สังเกต หรือเคยจับได้มาก่อน ก็แทบไม่เป็นผลต่อการใช้งาน
ขนาดตัวเครื่องของ iPad mini อยู่ที่ 195.4 x 134.8 x 6.3 มิลลิเมตร น้ำหนักราว 293 กรัม ในรุ่น WiFi ถือว่าเป็นแท็บเล็ตขนาดเหมาะมือ ที่สามารถพกพาไปใช้งานที่ไหนก็ได้ ซึ่งถือเป็นตลาดที่หาคู่เทียบได้ยาก เพราะแบรนด์อื่นๆ จะให้ความสำคัญกับแท็บเล็ตจอใหญ่ 10 นิ้วขึ้นไปกันหมด
สำหรับสีของ iPad mini รอบนี้ มากับ 4 โทนสีคือ ม่วง ฟ้า (สีใหม่แทนที่สีชมพู) สตาร์ไลท์ และเทาสเปซเกรย์ ซึ่งจะเป็นโทนสีใกล้เคียงกับรุ่นก่อนหน้า เมื่อเทียบกันเฉพาะโทนสีม่วง จะเห็นว่าตัวเครื่องสว่างขึ้นเล็กน้อย
ในส่วนของการปลดล็อกตัวเครื่อง iPad mini ยังใช้การสแกนลายนิ้วมือ (Touch ID) ที่ปุ่มบริเวณมุมขวาบน และมีปุ่มปรับระดับเสียงอยู่ฝั่งซ้ายบนให้ใช้งาน ขณะที่พอร์ตเชื่อมต่อด้านล่างจะเป็นพอร์ต USB-C แล้ว
ด้านขวาจะเป็นที่สำหรับเชื่อมต่อกับ Apple Pencil ซึ่งในรอบนี้ มีการจัดเรียงจุดเชื่อมต่อใหม่เช่นเดียวกับ iPad Air และ iPad Pro ทำให้รองรับเฉพาะ Apple Pencil Pro และ Apple Pencil USB-C เท่านั้น ไม่สามารถนำรุ่นเก่ามาใช้งานด้วยได้
กล้องใน iPad mini ที่ให้มาความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รองรับการบันทึกวิดีโอระดับ 4K60fps ขณะที่กล้องหน้า 12 ล้านพิกเซล รองรับ Center Stage ให้ใช้งานวิดีโอคอลได้สบายๆ
สำหรับเรื่องของประสิทธิภาพชิป A17 Pro ที่เคยถูกใช้งานบน iPhone 15 Pro ที่เป็นรุ่นท็อปของ iPhone ปีที่แล้ว ถือว่ารองรับการใช้งานได้สบายๆ จากคอร์ประสิทธิภาพ 2 คอร์ และคอร์ประหยัดพลังงาน 4 คอร์ ซึ่งด้วยขนาดตัวเครื่องที่ใหญ่กว่า iPhone ทำให้สามารถระบายความร้อนได้ดีกว่าด้วย
นอกจากนี้ ใน iPad mini รุ่นที่ 7 ยังอัปเกรดพื้นที่เก็บข้อมูลเริ่มต้นที่ 128/256/512 GB จากรุ่นก่อนหน้าเริ่มที่ 64/256 GB เท่านั้น ซึ่ง 128 GB ถือว่าเพียงพอกับการใช้งานส่วนใหญ่ของแท็บเล็ตแล้ว เพราะมักจะเป็นอุปกรณ์ที่เอาไว้ใช้เพื่อความบันเทิง หรือทำงานเป็นหลัก ไม่ได้ใช้เก็บข้อมูลมากนัก
***รองรับ Apple Intelligence
อย่างไรก็ตาม การที่ iPad mini ได้ชิป A17 Pro เท่ากับว่าเครื่องรุ่นนี้รองรับการใช้งาน Apple Intelligence เช่นเดียวกับ iPhone 15 Pro จึงเข้าถึงความสามารถของ AI ที่ทยอยเปิดให้ใช้งานกัน บนข้อจำกัดคือรองรับเฉพาะภาษาอังกฤษ (สหรัฐฯ) ในตอนนี้
การมี Apple Intelligence ทำให้เราสามารถใช้ Safari ในการสรุปเนื้อหาจากหน้าเว็บไซต์ หรือสั่งให้ช่วยเกลาคำให้มีความสละสลวยมากขึ้น ไปจนถึงการแก้ไขรูป อย่างการลบวัตถุ (Clean Up) ในแอป Photos
ก่อนทยอยเพิ่มความสามารถอื่นๆ ให้ใช้งานอย่างการสร้างรูปใน Image Playgroud หรือการผสมอีโมจิอย่าง Genmoji ที่จะให้ใช้งาน iPadOS 18.2 รอการอัปเดตช่วงปลายปีนี้
ทั้งนี้ iPad mini เริ่มวางจำหน่ายแล้ววันนี้ ในราคาเริ่มต้น 17,900 บาท สำหรับ WiFi 128 GB ส่วนรุ่นใส่ซิมได้ (Cellular) เริ่มต้นที่ 23,900 บาท เตรียมวางจำหน่ายเร็วๆ นี้
ขณะที่อุปกรณ์เสริมอย่าง Apple Pencil Pro อยู่ที่ 4,490 บาท Apple Pencil USB-C 2,990 บาท และเคส Smart Folio สีเข้ากับตัวเครื่องอยู่ที่ 2,290 บาท