การอัปเดตไลน์อัป AirPods รุ่นใหม่ของ แอปเปิล (Apple) ในรอบนี้ ถือว่าเป็นการปรับไลน์สินค้าครั้งใหญ่รอบหนึ่งก็ว่าได้ เพราะก่อนหน้านี้แอปเปิล ยังเลือกที่จะทำตลาด AirPods 2 ที่เป็นรุ่นเริ่มต้นไปควบคู่กับ AirPods 3 แต่มาในรอบนี้ แอปเปิล ตัดสินใจเปิดตัว AirPods 4 ออกเป็น 2 รุ่นย่อยแทน
ทำให้ปัจจุบันไลน์อัปของ AirPods จะเริ่มต้นที่ AirPods 4 ตามด้วย AirPods 4 ANC, AirPods Pro 2 และ AirPods Max ที่เพิ่งมีการอัปเดตสีใหม่ พร้อมกับเปลี่ยนพอร์ตชาร์จเป็น USB-C
ความต่างของ AirPods 4 ที่เป็นรุ่นเริ่มต้นราคา 4,990 บาท กับ AirPods 4 ANC (ตัดเสียงรบกวน) ในราคา 6,490 บาท นอกจากเรื่องของโหมดในการตัดเสียงรบกวนแล้ว รุ่น ANC จะเพิ่มการชาร์จไร้สาย และลำโพงที่ตัวเคสไว้ส่งเสียงเวลาค้นหาใน Find My มาให้
ส่วนในเรื่องของคุณภาพเสียงทั้ง AirPods 4 และ AirPods 4 ANC ให้เสียงที่เท่ากันทั้งหมด แตกต่างกันเพิ่มในเรื่องของแบตฯ หรือระยะเวลาใช้งานเพราะถ้าเปิดใช้โหมดตัดเสียงรบกวนใน AirPods 4 ANC จะลดระยะเวลาใช้งานลงเหลือราว 4 ชั่วโมง รวมกับเคสชาร์จเป็น 20 ชั่วโมง จากการใช้งานปกติที่ราว 5 ชั่วโมง รวมเคสเป็น 30 ชั่วโมง
เมื่อเห็นถึงจุดต่างระหว่าง 2 รุ่น กันแล้ว ทีนี้มาดูถึงการเปลี่ยนแปลงของ AirPods 4 ที่มีการปรับปรุงจากรุ่นก่อนหน้าในหลายๆ ส่วน เริ่มจากดีไซน์ของทั้งเคส และหูฟัง ที่มีขนาดเล็กลง ตัวเคสเมื่อเทียบกับ AirPods 3 เล็กลงราว 10%
ในขณะที่ตัวหูฟังจะมีรูปทรงที่สวมใส่สบายมากขึ้น และไม่รู้สึกหลุดง่ายเวลาสวมใส่ จากการออกแบบให้เป็นหูฟังแบบ Open Ear น้ำหนักเบาข้างละ 4.3 กรัม ส่วนเคสชาร์จจะอยู่ที่ 32.3-34.7 กรัม ขึ้นอยู่กับรุ่นธรรมดา หรือ ANC
จะเห็นได้ว่าเมื่อเทียบตั้งแต่ AirPods รุ่น 1-2 ตามมาด้วย AirPods 3 และ AirPods 4 ตัวเคสจะเล็กลงให้พกพาได้ง่ายขึ้น เช่นเดียวกับหูฟังจากก้านยาว หดสั้นลงมา และในรอบนี้ปรับทรงให้มีความโค้งมนเข้าหูมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีการปรับเปลี่ยนเซ็นเซอร์ตรวจจับการสวมใส่ จากเดิมที่ใช้เป็นเซ็นเซอร์ผิวหนัง มาใช้เป็นเซ็นเซอร์แบบออปติคัล ในการตรวจจับแทน ทำให้เวลาถอดออกมากำไว้ในมือเดิมอาจจะลั่นเล่นคอนเทนต์ต่อ แต่รอบนี้จะไม่เป็นแล้ว
ตัวเคส AirPods 4 และ AirPods 4 ANC จะมีการออกแบบใหม่ ซ่อนไฟ LED ไว้ภายใน และตอนนี้จะไม่มีปุ่มให้กดค้างเพื่อเชื่อมต่อเหมือนรุ่นก่อนๆ แล้ว แต่เปลี่ยนเป็นระบบสัมผัสด้วยการแตะแทน อย่างการแตะ 2 ครั้ง เพื่อเข้าสู่โหมดเชื่อมต่อ และมีพอร์ตชาร์จ USB-C มาให้ ตัวเคสกันน้ำกระเซ็นบนมาตรฐาน IP54
ต่อมาที่จุดต่างของรุ่น ANC คือจะมีช่องลำโพงอยู่ข้างๆ กับพอร์ต USB-C ใช้ในการส่งเสียง เวลาที่ทำการค้นหาผ่านระบบ Find My ซึ่งเป็นระบบการค้นหาแบบเริ่มต้น ใช้การจับสัญญาณบลูทูธระหว่าง iPhone กับ AirPods มาช่วยระบุระยะ ไม่ได้มีการใส่ชิป U2 เข้ามาระบุตำแหน่งที่ชัดเจน
อีกส่วนก็คือ AirPods 4 ANC จะรองรับการชาร์จไร้สายผ่านมาตรฐาน Qi ทำให้สามารถวางชาร์จบนแท่นชาร์จทั่วไป หรือใช้งานร่วมกับสายชาร์จ Apple Watch ที่เป็นแม่เหล็กได้ แต่จะไม่สามารถแปะติดกับ MagSafe เหมือนใน AirPods Pro 2 ได้ เนื่องจากขนาดของเคสที่เล็กลง
ตัดเสียงได้ แม้ไม่อุดหู
สำหรับเทคโนโลยีเฉพาะในรุ่น AirPods 4 ANC หรือรุ่นที่รองรับการตัดเสียงรบกวน แอปเปิล ใช้ประสิทธิภาพในการประมวลผลของชิป H2 ที่เดิมใช้งานกับ AirPods Pro 2 มาใช้ในรุ่นนี้ เพื่อทำงานร่วมกับไมโครโฟนภายนอกในการรับเสียงรบกวนรอบข้าง
หลังจากนั้นจะนำเสียงไปประมวลผล และส่งคลื่นเสียงตรงข้ามเข้ามาให้เรารับฟัง (Active Noise Cancellation) ผสมผสานไปกับเพลง หรือคอนเทนต์ที่เราเปิดฟังอยู่ ทำให้สามารถตัดเสียงรบกวนออกไปได้ เพิ่มเติมด้วยมีโหมดรับฟังเสียงรอบข้าง (Tranparency) มาให้ใช้งานด้วย
เสียงคงคุณภาพ AirPods
ในส่วนของเสียงในการรับฟัง และไมโครโฟน AirPods ถือว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ไม่ได้มีคุณภาพที่โดดเด่นกว่าแบรนด์เครื่องเสียงที่มาทำหูฟัง ซึ่งจะมีคาแร็กเตอร์เสียงที่ชัดเจนกว่า ในขณะที่ AirPods จะถูกปรับแต่งมาให้รับฟังเสียงได้ชัดเจน ไมโครโฟนจับเสียงพูดได้ชัด
เนื่องจากความโดดเด่นของ AirPods จะอยู่ที่อีโคซิสเต็มในการใช้งาน คู่กับทั้ง iPhone iPad และ Mac ในเรื่องการเชื่อมต่อแบบไร้รอยต่อ ทำให้สามารถสลับใช้งานระหว่างอุปกรณ์ได้สะดวก เมื่อเชื่อมต่อด้วย Apple ID เดียวกัน
อย่างเช่นเวลาดูซีรีส์ใน iPad และมีสถานการณ์ที่ iPhone มีสายเรียกเข้าดังขึ้น AirPods จะสลับการเชื่อมต่อมาที่ iPhone ให้รับสายสนทนาได้โดยอัตโนมัติ เมื่อวางสายก็จะกลับไปเล่นคอนเทนต์ที่ iPad ต่อเนื่อง ทำให้กลายเป็นว่าผู้ใช้งานในอีโคซิสเต็มจะรู้สึกสะดวกมากที่สุด
สรุป
AirPods 4 ในรอบนี้ มีตัวเลือกทั้งรุ่นเริ่มต้น และรุ่นตัดเสียงรบกวนมาให้ ใครที่มีงบจำกัด รุ่นเริ่มต้นจะเป็นคำตอบในเรื่องการใช้งานที่สะดวก แต่ถ้าสามารถเพิ่มงบขึ้นมาได้ AirPods 4 ANC จะช่วยเพิ่มเติมในเรื่องของการตัดเสียงรบกวน โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ชอบใส่หูฟังแบบ In Ears หรือในรุ่น AirPods Pro