ถ้าถามว่า iPhone 16 ที่เปิดใหม่ในปีนี้ รุ่นไหนคุ้มค่า และน่าใช้งานมากที่สุด คงหนีไม่พ้น iPhone 16 Plus ที่ในปีนี้มีสีให้เลือกหลากหลาย ได้รับการอัปเกรดหลายสิ่งใหม่มาให้ใช้งานกัน ซึ่งนอกจากจะได้จอใหญ่ แบตอึด กล้องหลักที่ละเอียดขึ้น แถมยังถ่ายมาโครได้
ปีนี้ 16 Plus ยังได้มาทั้ง Action Button จากรุ่นท็อปของปีที่แล้ว มีตัวควบคุมกล้อง (Camera Control) มาให้ใช้งาน รวมถึงชิปใหม่ A18 และยังรองรับการใช้งาน Apple Intelligence ในอนาคตด้วย
สิ่งที่อาจจะขาดไปใน iPhone 16 Plus เหลือเพียงแค่หน้าจอที่ไม่ยอมปรับอัตราการรีเฟรชหน้าจอให้เพิ่มขึ้นสักที ยังคงอยู่ที่ 60 Hz เช่นเดิม ถ้าขยับขึ้นไปเป็น 90 Hz ก็จะให้ประสบการณ์ที่ลื่นไหลกว่าเดิม แต่ทั้งนี้ ถ้าใครที่ยังไม่ได้ใช้งาน ProMotion ที่ 120 Hz ก็อาจจะไม่ได้คำนึงถึงจุดนี้มากนัก
อีกอย่างคือเรื่องของราคา ที่กลายเป็นว่าในรอบนี้ Apple ปรับราคาของ 16 Plus มาเริ่มต้นที่ 34,900 บาท ในรุ่นเริ่มต้น 128 GB ซึ่งถ้าขยับไป 256 GB ราคาจะขยับไปเป็น 39,900 บาท ที่กลายเป็นซื้อ iPhone 16 Pro รุ่นเริ่มต้นได้ ทำให้ตรงนี้อาจจะต้องตัดสินใจกันอีกครั้ง เพราะถ้าไม่ได้อยากได้จอใหญ่ และมีงบถึง 16 Pro จะได้เทคโนโลยีหลายๆ อย่างที่ดีกว่า
สีใหม่ โดนใจ
เริ่มกันที่สีของ iPhone 16 ที่ในรอบนี้นอกจากสีเบสิกอย่างขาว และดำ มีสีโทนใหม่อย่างน้ำเงิน (Ultramarine) เขียว (Teal) และชมพู (Pink) เหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบใช้สมาร์ทโฟนสีๆ วัสดุที่ใช้ตัวเครื่องเป็นอะลูมิเนียมที่ 85% มาจากวัสดุรีไซเคิล กระจกหน้าจอใช้เป็น Ceramic Shield ที่แข็งแรงกว่ากระจกทั่วไปจากสมาร์ทโฟนในท้องตลาด
โดยหน้าจอของ iPhone 16 และ iPhone 16 Plus ยังมากับ Super Retina XDR ขนาดเดิมที่ 6.1 นิ้ว และ 6.7 นิ้ว ให้รีเฟรชเรตที่ 60 Hz ความสว่างสูงสุด 2000 nits ความละเอียดเม็ดสีอยู่ที่ 460ppi มี Dynamic Island มาให้ใช้งานด้วย กับกล้องหน้า TrueDepth ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล
ส่วนที่เปลี่ยนแปลงคือในปีนี้ iPhone 16 และ iPhone 16 Plus ไม่มีปุ่มปิดเสียงแล้ว เพราะเปลี่ยนมาเป็น Action Button ที่ผู้ใช้สามารถปรับแต่งปุ่มลัดได้ตามที่ต้องการ เมื่อรวมกับ iOS 18 ที่สามารถเปลี่ยนปุ่มลัดที่หน้าจอหลักทำให้ผู้ใช้งานปรับแต่งให้เข้ากับการใช้งานได้สะดวกขึ้น
พร้อมกับตัวควบคุมกล้อง (Camera Control) มาให้ใช้งานเป็นครั้งแรกใน iPhone 16 ซีรีส์ ทุกรุ่น ใครที่อยากรู้ว่า Camera Control ทำอะไรได้ ลองย้อนไปอ่านกันได้ที่ ‘รู้จัก Camera Control ปุ่มใหม่ใน iPhone 16'
อย่างไรก็ตาม ส่วนที่น่าเสียดายอีกจุดใน iPhone 16 และ iPhone 16 Plus คือพอร์ต USB-C ที่ให้มาเป็น USB 2.0 (480 Mbps) หรือความเร็วเท่ากับสาย Lightning สมัยก่อน ไม่ได้มีการปรับปรุงเพิ่มแต่อย่างใด
ทำไม iPhone 16 Plus ถึงคุ้ม?
การปรับปรุงกล้องหลักมาเป็น Fusion 48 ล้านพิกเซล ทำให้ในปีนี้ iPhone 16 และ iPhone 16 Plus สามารถถ่ายระยะหลัก 1x แบบความละเอียดสูง และถ่ายระยะ 2x ที่ความละเอียด 12 ล้านพิกเซลเข้ามา ซึ่งเป็นระยะที่ครอบคลุมการใช้งานทั่วๆ ไปแล้ว
ขณะที่เลนส์มุมกว้างที่ให้มา 12 ล้านพิกเซล รองรับการถ่ายมาโคร และออโต้โฟกัสเป็นครั้งแรก ยิ่งทำให้กล้องของ iPhone 16 และ iPhone 16 Plus สารพัดประโยชน์มากขึ้น ไม่นับรวมกับการวางกล้องเป็นแนวตั้ง สามารถถ่ายคอนเทนต์ไปใช้กับ Vision Pro ได้
รวมถึง Photographic Styles ที่มีมาให้ใช้งานเฉพาะใน iPhone 16 ซีรีส์ เปิดทางให้ผู้ใช้ปรับโทนสีได้สนุกขึ้น จนถึงเรื่องของการบันทึกวิดีโอ Spatial Audi และ Audio Mix ก็มีให้ใช้งานบน iPhone 16 และ iPhone 16 Plus
นอกจากนี้ iPhone 16 และ iPhone 16 Plus ยังมากับชิป A18 ที่ปรับปรุงทั้งในเรื่องของการประมวลผล กราฟิก และส่วนที่สำคัญที่สุดคือ Neural Engine เพื่อให้รับกับการใช้งาน Apple Intelligence ที่จะมาในอนาคตด้วย
สิ่งที่ตามมาจากชิปใหม่คือประสิทธิภาพที่ดีขึ้น รองรับทั้งการเล่นเกมระดับ AAA แบตเตอรี่ที่อึดขึ้น เพราะฉนั้นแล้วถ้าเป็นการใช้งานทั่วไป iPhone 16 และ iPhone 16 Plus ถือว่าเหมาะกับการใช้งานที่หลากหลายมากๆ
สรุป
สำหรับใครที่มีงบประมาณราว 30,000-40,000 บาท แต่อยากได้สมาร์ทโฟนที่ใช้งานได้ระยะยาว iPhone 16 และ iPhone 16 Plus ถือว่าตอบโจทย์ เพราะในปีนี้อัปเกรดมาให้ใช้งานกันหลายอย่าง ทั้ง Action Button Camera Control กล้องหลัก 48 ล้านพิกเซล แต่ถ้าใครที่งบถึงขยับไปรุ่น Pro และไม่ได้ลำบากอะไร 2 รุ่นใหญ่ถือเป็นตัวจบอยู่แล้ว
การมีทางเลือกอย่าง iPhone 16 และ iPhone 16 Plus ที่มีสีสันสวยงาม และความสามารถที่ครบถ้วนมาให้ใช้งาน น่าจะเหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปมากกว่า และถือเป็นตัวเลือกที่คุ้ม เพราะ iPhone พิสูจน์แล้วว่าใช้งาน 5-6 ปีได้สบายๆ