การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นใน ROG Phone 8 รุ่นของปีนี้ ที่ปรับดีไซน์ให้มีความพรีเมียมมากขึ้น ลดความเป็นเกมมิ่งสมาร์ทโฟนลง ทำให้ในภาพรวมของเครื่องมีความน่าใช้งาน เหมาะกับผู้ใช้ที่มีความหลากหลายมากขึ้น ไม่จำกัดเฉพาะในกลุ่มเกมเมอร์อีกต่อไป
แน่นอนว่า ROG Phone 8 และ ROG Phone 8 Pro ยังคงรักษามาตรฐานของการเป็นเกมมิ่งสมาร์ทโฟนที่เป็นรุ่นเรือธงประจำปีได้อย่างน่าสนใจ จากทั้งประสิทธิภาพตัวเครื่องที่ดีขึ้นจากชิป Snapdragon 8 Gen 3 แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5,500 mAh แสดงผลบนหน้าจอ AMOLED ขนาด 6.78 นิ้ว พร้อมผ่านมาตรฐานกันน้ำ กันฝุ่น IP68 มาให้ใช้งาน ในราคาเริ่มต้น 29,990 บาท
ข้อดี
สมาร์ทโฟนประสิทธิภาพสูง รองรับการเล่นเกม ใช้งานหนักๆ
ดีไซน์มีความเรียบหรู เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น กับลูกเล่น AniMe Vision บนฝาหลัง
รุ่น 8 Pro Edition มาพร้อมพัดลม AeroActive Cooler X ช่วยระบายความร้อนให้เครื่องใช้งานได้เสถียรมากขึ้น
หน้าจอ AMOLED 6.78 นิ้ว รองรับ Refresh Rate 165 Hz 2500 nits
ข้อสังเกต
ความละเอียดหน้าจอยังอยู่ที่ FHD+ เน้นการเล่นเกมเป็นหลัก
ราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับเกมมิ่งโฟนในท้องตลาด
ชุดเลนส์กล้องนูนออกจากตัวเครื่องพอสมควร
เกมมิ่งโฟน เพิ่มความพรีเมียม
การปรับโพสิชันเกมมิ่งโฟนของ ROG Phone 8 ในปีนี้ ให้มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ทำให้ดีไซน์ของปีนี้มีความเรียบหรู และพรีเมียมมากขึ้น เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้าที่จะเน้นความเป็น ROG พร้อมแสงสี RGB เพื่อให้ความรู้สึกเป็นเกมมิ่ง แต่กลายเป็นว่าในปีนี้ ROG Phone 8 Pro ทำออกมาได้มีความสุขุมมากขึ้น
โดยเฉพาะในรุ่นสีดำ Phantom Black ที่ใช้ฝาหลังสีดำด้าน ควบคู่กับ AniMe Vison แบบใหม่ ที่เป็นไฟ Mini-LED สีขาว ที่สามารถปรับแต่งได้ มาเป็นลูกเล่นเพิ่มเติม ที่ช่วยแสดงสถานะการทำงานบางอย่างของเครื่องด้วย
ทั้ง ROG Phone 8 และ ROG Phone 8 Pro จะมีขนาดหน้าจอเท่ากันที่ 6.78 นิ้ว ให้ความละเอียด 2448 x 1080 พิกเซล โดยเป็นหน้าจอ AMOLED แบบ LTPO ที่ให้อัตราการรีเฟรชสูงถึง 165 Hz แบบ Adaptive ที่ตัวเครื่องจะปรับการแสดงผลให้เหมาะสมกับคอนเทนต์ที่ใช้งานอัตโนมัติในช่วง 1-120 Hz และสูงสุดในขณะเล่นเกมที่ 165 Hz ให้ความสว่างสูงสุดที่ 2500 nits
ความน่าสนใจคือ ROG Phone 8 ยังให้หน้าจอขนาดเดียวกันกับรุ่นก่อนหน้า ROG Phone 7 แม้ว่าขนาดตัวเครื่องจะเล็กลง ด้วยสัดส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่องที่ 94% จากขอบหน้าจอที่บางลง และการหันมาใช้กล้องหน้าแบบเจาะรูความละเอียด 32 ล้านพิกเซลแทน
เมื่อตัวเครื่องเล็กลงอยู่ที่ 163.77 x 76.8 x 8.9 มิลลิเมตร 225 กรัม ทำให้การจับถือใช้งานถนัดมือมากขึ้น โดยเฉพาะในแง่ของความบางตัวเครื่องเมื่อไม่ใส่เคสใช้งาน แต่จะมีส่วนของเลนส์กล้องที่นูนขึ้นมาจากตัวเครื่องพอสมควร ทำให้เมื่อใส่เคสแล้วจะเรียบเนียนไป
รอบตัวเครื่องทางฝั่งขวาจะเป็นปุ่มปรับระดับเสียง ปุ่มเปิดเครื่อง และเป็นที่อยู่ของ Air Triggers ที่เป็นปุ่มลัดเพิ่มเติมสำหรับเวลาเล่นเกมในแนวนอน ทำให้สามารถใช้นิ้วชี้สั่งงานเพิ่มเติมได้ ซึ่งถือเป็นจุดเด่นของเกมมิ่งโฟน ที่เพิ่มตัวช่วยในการเล่นเกมให้สนุกขึ้นด้วย
ขณะที่ขอบล่างเครื่องจะเป็นที่อยู่ของช่องเสียบสายชาร์จ USB-C ถาดซิมที่รองรับนาโนซิมการ์ดแบบ 2 ซิม และช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. ซึ่งกลายเป็นสมาร์ทโฟนระดับแฟลกชิปเพียงไม่กี่รุ่นที่ยังมีช่องเสียบหูฟังมาให้ใช้งาน
ส่วนทางฝั่งซ้ายเครื่องจะมีพอร์ต USB-C อีก 1 ช่อง ไว้ใช้เสียบชาร์จเวลาเล่นเกมในแนวนอน หรือต่อเข้ากับอุปกรณ์เสริม AeroActive Cooler X ที่ในปีนี้มีการปรับดีไซน์ให้เล็กกะทัดรัดมากขึ้น แต่ยังคงความแรงของพัดลมในการระบายอากาศอยู่เช่นเดิม
เมื่อเชื่อมต่อกับ AeroActive Cooler X แล้วจะยังสามารถใช้พอร์ต USB-C และช่องเสียบหูฟังที่อุปกรณ์เสริมแทนได้ ทำให้เวลาถือเครื่องเล่นเกมในแนวนอนจะไม่ต้องคอยระวังสายต่างๆ ที่เสียบทางด้านใต้เครื่อง
สำหรับตัว AeroActive Cooler X จะมีปุ่มสั่งงานเพิ่มเติมอีก 2 ปุ่ม พร้อมไฟแสดงสถานะแบบ RGB ให้สายเกมเมอร์ได้ปรับแต่งกันเช่นเดิม ซึ่งตัวอุปกรณ์เสริมนี้ยังใช้แทนขาตั้งเครื่องสำหรับเวลาดูหนัง หรือดูซีรีส์ได้อีกด้วย
อัดสเปกสุดใน ROG Phone 8 Pro Edition
ในส่วนของสเปกภายในเครื่อง ROG Phone 8 ทุกรุ่น จะทำงานบนชิป Qualcomm Snapdragon 8 Gen 3 ที่ให้ความเร็วในการประมวลผล 3.3 GHz พร้อมกราฟิก Adreno 750 โดยในรุ่นเริ่มต้นจะมากับ RAM 12 GB
ก่อนขยับขึ้นมาเป็น 16 GB และ 24 GB ในรุ่น Pro และ Pro Edition พร้อมกับพื้นที่เก็บข้อมูลตั้งแต่ 256 GB - 1 TB ที่เป็น UFS 4.0 ทำให้สามารถอ่าน และเขียนข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว และตัวเครื่องไม่สามารถเพิ่มไมโครเอสดีการ์ดได้
ตัวเครื่องรองรับการเชื่อมต่อ 5G บลูทูธ 5.3 GPS NFC ใส่มาให้ครบ ส่วนแบตเตอรี่ที่ให้มาอยู่ที่ 5,500 mAh รองรับชาร์จเร็ว 65W สามารถชาร์จได้เต็ม 100% ภายใน 39 นาที และรองรับการชาร์จไร้สายที่ 15W ด้วย
เมื่อนำมาทดสอบกับ Geekbench 6 สามารถทำคะแนน Single-Core ได้ที่ 1,153 คะแนน และ Multi-Core ได้ที่ 5,438 คะแนน ในโหมดการใช้งานปกติ และเร่งคะแนนขึ้นไปได้ถึง Single-Core 2,137 คะแนน และ Multi-Core 7,235 คะแนน เมื่อเข้าสู่ X-Mode ที่ทำงานร่วมกับ AeroActive Cooler X
แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อเข้าสู่โหมดพิเศษ เพราะจากข้อจำกัดในการระบายความร้อนใน Snap 8 Gen 3 ทำให้ในการใช้งานต่อเนื่องจะถูกจำกัดความเร็วในการประมวลผลไว้ ไม่ให้ตัวเครื่องร้อนเกินไปจนจำกัดการทำงาน ซึ่งเมื่อใช้งานร่วมกับพัดลมระบายอากาศ จะช่วยให้การทำงานของซีพียูแรงขึ้นด้วย
ส่วนในแง่ของการประมวลผลกราฟิกทั้ง Geekbench 6 Vulken ที่ได้ 16,515 คะแนน และ OpenCL 14,322 คะแนน ทำให้มั่นใจได้ว่า ในการใช้งาน ROG Phone 8 รองรับการเล่นเกมได้อย่างสบายๆ รวมถึงการใช้งานต่อเนื่องด้วย เมื่อทำงานร่วมกับอุปกรณ์เสริม
กล้องถ่ายภาพที่ไว้ใจได้
ที่ผ่านมา ความโดดเด่นของ ROG Phone จะถูกเรื่องของประสิทธิภาพ และการทำงานกลบความสามารถของการถ่ายภาพออกไป แต่ในปีนี้ การพัฒนาของ ROG Phone 8 ที่รับฟีดแบ็กจากผู้ใช้งาน ทำให้ทีมงานเอซุส รับรู้แล้วว่าอีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ในแฟลกชิปสมาร์ทโฟนยุคนี้คือกล้องถ่ายภาพ
ทำให้ใน ROG Phone 8 มีการพัฒนากล้องขึ้นมาอย่างน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นกล้องหลักที่เลือกใช้เลนส์ Sony IMX890 ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล ที่มาพร้อมกันสั่น OIS Hybrid Gimbal 3.0 แบบ 6 แกน สามารถใช้ถ่ายภาพระยะ 2x ได้ เสริมด้วยเลนส์มุมกว้าง 13 ล้านพิกเซล และเลนส์ซูม 32 ล้านพิกเซล ที่สามารถซูมได้ 3x และ 5x แบบไม่เสียรายละเอียด ซูมได้สูงสุด 30 เท่า
โดยการทำงานของกล้องจะผสมผสานเข้ากับการประมวลผลของ AI ที่มาช่วยปรับแต่งรูป เพิ่มความคมชัด และรายละเอียดของภาพเพิ่มเติมเข้าไปด้วย ซึ่งเท่าที่ทดสอบใช้งานพบว่า การใช้งานในสภาพแสงปกติถือว่าเก็บรายละเอียดได้ชัดเจนในทุกระยะ
แต่กลับกันเมื่อใช้งานในที่แสงน้อย การ Process ภาพที่เกิดขึ้นยังไม่เนียนตา โดยเฉพาะในจุดที่มีแสงสว่างออกมา ทำให้เสียรายละเอียดบางส่วนในจุดเหล่านั้นไป ส่วนการถ่ายวิดีโอถือว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานกล้องหลักสามารถถ่ายได้สูงสุดถึง 8K แต่ถ้าเปิดโหมดกันสั่นจะอยู่ที่ 4K60fps
ควบคุมผ่าน Armoury Crate
ความพิเศษอย่างหนึ่งของ ROG ไม่ว่าจะเป็นโน้ตบุ๊กเกมมิ่ง หรือสมาร์ทโฟนเกมมิ่ง คือเอซุส ได้พัฒนาแอป โปรแกรมเฉพาะที่จะมาควบคุมสั่งงานการทำงานของตัวเครื่อง ที่จะแสดงผลให้ผู้ใช้ได้เห็นอย่างชัดเจน เอาใจสายเกมเมอร์ที่อยากได้ข้อมูลทั้งเรื่องของการประมวลผล อุณหภูมิ การใช้งานหน่วยความจำต่างๆ
รวมถึงเปิดให้ผู้ใช้สามารถสลับโหมดการทำงานด้วยตัวเอง ทั้งเข้าสู่ X Mode ที่รีดประสิทธิภาพของตัวเครื่องตลอดเวลา (ส่งผลกับเรื่องของแบตเตอรี่ที่จะใช้งานได้น้อยลง) หรือใช้งานโหมด Dynamic ที่ตัวเครื่องจะตรวจจับรูปแบบการใช้งาน และปรับโหมดให้เหมาะสม อย่างเมื่อเข้าเล่นเกมจะปรับสู่ X Mode อัตโนมัติ ถ้าสลับมาใช้งานโซเชียล เบราว์เว็บจะปรับสู่โหมดปกติ
นอกจากนี้ ยังมีโหมดประหยัดพลังงานเข้ามาเสริม ในกรณีที่ต้องใช้งานข้างนอกยาวนานกว่าปกติ สามารถเลือกใช้โหมดนี้ได้ ซึ่งจะยังคงจุดเด่นในเรื่องของการตอบสนองการสัมผัสอยู่ แต่ไปลดการทำงานของการประมวลผล ปรับอัตราการรีเฟรชหน้าจอให้ลดลงแทน
อีกหนึ่งไฮไลต์ที่สามารถปรับแต่งเพิ่มเติมได้ใน Armoury Crate คือการแสดงผล AniMe Vision หลังเครื่อง ที่ตามปกติแล้วคอยบอกสถานะการใช้งานอย่างเปอร์เซ็นต์แบตเตอรี่ หรือถ้าใช้ถ่ายภาพจะแสดงโหมดให้เห็นว่าถ่ายภาพนิ่ง หรือวิดีโอ
โดยผู้ใช้ยังสามารถเข้าไปปรับแต่งการแสดงผลของเม็ดไฟ Mini-LED กว่า 341 ดวงนี้ เป็นรูปแบบที่ต้องการได้ เพื่อให้การใช้งานตัวเครื่อง ROG Phone 8 Pro มีความน่าสนใจ และดึงดูดสายตาของผู้อื่น ในขณะที่ถ้าเป็น ROG Phone 8 จะเป็นเพียงโลโก้ ROG ที่มีไฟ Aura RGB เท่านั้น
สรุป
ROG Phone 8 Pro Edition นับว่าเป็นสมาร์ทโฟนสำหรับสายฮาร์ดคอร์เกม ที่สามารถพกพาตัวเครื่องไปใช้งานได้ในทุกโอกาสจากดีไซน์ที่ดูเรียบสุขุมมากขึ้น พร้อมกับฟีเจอร์ที่เก่งรอบด้านมากกว่าเดิม ทั้งในส่วนของกล้องที่ถูกพัฒนาขึ้น รวมไปถึงคุณสมบัติการกันน้ำกันฝุ่นระดับ IP68 และรองรับการชาร์จไร้สาย และงบประมาณไม่ใช่ปัญหา เนื่องจากราคาของเครื่องที่ค่อนข้างสูง ด้วยการเลือกสเปกระดับ RAM 24 GB ROM 1 TB เข้ามาทำตลาด ทำให้ค่อนข้างเป็นกลุ่มเฉพาะ ที่เข้าใจการทำงานของเกมมิ่งโฟนได้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว
เบื้องต้น ROG Phone 8 มีให้เลือกด้วยกัน 3 รุ่น
- ROG Phone 8 12/256GB (Phantom Black/Storm Grey) ราคา 29,990 บาท
- ROG Phone 8 Pro 16/512 (Phantom Black) ราคา 37,990 บาท
- ROG Phone 8 Pro Edition 24GB/1TB (Phantom Black) with AeroActive Cooler X ราคา 47,990 บาท
พร้อมโปรโมชันพิเศษ จาก AIS เมื่อซื้อเครื่องพร้อมแพกเกจรายเดือน
ROG Phone 8 ราคาเริ่มต้นที่ 25,690.- ROG Phone 8 Pro ราคาเริ่มต้นที่ 33,690.- และ ROG Phone 8 Pro Edition ราคาเริ่มต้นที่ 43,690.- ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: https://m.ais.co.th/epHZ4PpuY