การมาของ MacBook Pro M3 นับเป็นการปิดฉาก MacBook Pro 13 นิ้ว พร้อม Touch Bar อย่างเป็นทางการของ Apple เพราะก่อนหน้านี้ ถ้าต้องการ MacBook Pro ดีไซน์ใหม่ที่มากับหน้าจอ 14 นิ้ว จะต้องเลือกใช้ชิปที่เป็น M2 Pro ขึ้นไป
และกลายเป็นว่าในปี 2023 นี้ Apple ได้ออก MacBook Pro รุ่นใหม่ถึง 2 รอบด้วยกันคือการอัปเดตมาเป็น M2 Pro และ M2 Max ช่วงต้นปี ตามด้วย M3 M3 Pro และ M3 Max มาวางขายในช่วงปลายปีนี้
แน่นอนว่า ถ้าเป็นลูกค้าที่เพิ่งซื้อ MacBook Pro ไปตั้งแต่ยุคของ M1 ตามมา M2 ก็ยังไม่ได้มีความจำเป็นที่ต้องอัปเกรดมาเป็นรุ่นใหม่นี้ แต่ถ้าใช้งานรุ่นเก่าที่ใช้ชิป Intel อยู่ การข้ามมาใช้ MacBook Pro ที่มากับชิป M3 ในรอบนี้จะได้ประสบการณ์ใช้งานที่ดีขึ้นแบบชัดเจน
ข้อดี
ดีไซน์ MacBook Pro 14” และ 16” ที่ลงตัว มีพอร์ตเชื่อมต่อให้ครบ
ประสิทธิภาพของ Apple M3 ที่ให้ความแรงเทียบกับพลังงานที่ใช้
หน้าจอ Liquid Retina XDR ความสว่าง 1,600 nits ProMotion 120 Hz
MacBook Pro รุ่นที่มากับ M3 Pro และ M3 Max จะได้พอร์ต Thunderbolt 4
สีใหม่ Space Black ในรุ่น M3 Pro และ M3 Max
ข้อสังเกต
รุ่นเริ่มต้น M3 จะยังคงเป็นสีเดิม Space Gray และ Silver
พอร์ตเชื่อมต่อในรุ่น M3 จะเป็น Thunderbolt 3 และมีพอร์ตน้อยกว่า 1 ช่อง
ราคาเริ่มต้น M3 59,900 บาท M3 Pro 79,900 บาท M3 Max 121,900 บาท
MacBook Pro M3 รุ่นเริ่ม ได้จอระดับโปร
จากการที่ในรอบนี้ Apple เลือกนำ MacBook Pro ทั้งรุ่น 14 นิ้ว และ 16 นิ้ว มาใช้งานร่วมกับชิปเซ็ตใหม่อย่าง Apple M3 ทั้งไลน์อัป ทำให้ผู้บริโภคที่ไม่ได้มีความต้องการใช้งานโน้ตบุ๊กที่แรงเกินความจำเป็น มีตัวเลือกใช้งานตัวเครื่องที่มีความครบเครื่องในการใช้งานได้มากขึ้น
โดยใน MacBook Pro 14 นิ้ว รุ่นเริ่มต้นที่ใช้ชิป M3 จะยังได้ทั้งหน้าจอความละเอียดสูง Liquid Retina XDR 3024 x 1964 พิกเซล ที่ให้ความสว่างสูงสุดถึง 1,600 nits และมาพร้อมกับอัตราการแสดงผล ProMotion 120 Hz ให้ใช้งานด้วย
ขณะเดียวกัน ระยะเวลาการใช้งานบนแบตเตอรี่ของชิป M3 จะอยู่ที่ 22 ชั่วโมง ที่นับว่าเพิ่มขึ้นจาก M3 Pro และ M3 Max เนื่องจากซีพียูใช้พลังในการประมวลผลน้อยลง ช่วยให้ผู้ที่ไม่ได้มีความจำเป็นต้องประมวลผลหนักๆ ตลอดเวลา สามารถใช้งานได้ต่อเนื่อง โดยไม่ต้องชาร์จแบต
อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่เป็นรุ่นเริ่มต้น ทำให้มีข้อแตกต่างจาก MacBook Pro 14 นิ้ว และ 16 นิ้ว ที่ใช้งานชิป M3 Pro และ M3 Max อยู่เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของพอร์ตเชื่อมต่อ ที่ในรุ่น M3 จะให้มาเป็น Thunderbolt 3 / USB 4 เพียง 2 พอร์ตทางด้านซ้ายเท่านั้น และรองรับการต่อจอแสดงผลภายนอกเพียง 1 จอที่ความละเอียด 6K 60 Hz
ในขณะที่ M3 Pro และ M3 Max จะได้เป็นพอร์ต Thunderbolt 4 จำนวน 3 พอร์ต และรองรับการต่อจอแสดงผลภายนอก สูงสุดที่ 4 จอที่ความละเอียด 6K 60 Hz รวมกับ 4K 144 Hz จากพอร์ต HDMI หรือถ้าต้องการความละเอียดสูงขึ้นไป ระดับ 8K 60 Hz ก็สามารถต่อใช้งานได้
จุดต่างอีกอย่างคือเรื่องสีที่ MacBook Pro M3 จะมากับสีเดิมอย่างสีเทา Space Grey และสีเงิน Silver โดยที่ตัวชิป M3 จะมากับ 8 คอร์ CPU 10 คอร์ GPU ใส่ RAM ได้สูงสุดที่ 24 GB และ SSD สูงสุดที่ 2 TB
สีใหม่ Space Black ในรุ่น M3 Pro และ M3 Max
ถัดมาในกลุ่มของ MacBook Pro 14 นิ้ว และ 16 นิ้ว ที่ทำงานบนชิป M3 Pro และ M3 Max ในรอบนี้ ภายนอกสิ่งเดียวที่เปลี่ยนแปลงเลยคือเรื่องของสีใหม่ Space Black ที่ทำให้โทนสีของเครื่องดำขึ้น พร้อมกับมีการเคลือบสารอะโนไดซ์เพื่อช่วยลดรอยนิ้วมือบริเวณภายนอกของเครื่อง ทำให้ติดรอยนิ้วมือได้ยากขึ้น
ส่วนพอร์ตเชื่อมต่อที่ให้มายังครบถ้วนเช่นเดิมทั้ง MagSafe 3 พอร์ต Thunderbolt 4 ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. ช่องเสียบ HDMI และช่องอ่าน SD Card ที่ช่วยให้รองรับการใช้งานสำหรับช่างภาพ และช่างวิดีโอระดับมืออาชีพได้สะดวกขึ้น โดยแบตเตอรี่ของ รุ่น 14 นิ้ว ยังอยู่ที่ 18 ชั่วโมง และรุ่น 16 นิ้ว อยู่ที่ 22 ชั่วโมง เช่นเดิม
แรงขึ้นจากเดิม แต่ไม่มากพอให้คนใช้ M1 Pro ขึ้นไปเปลี่ยน
สำหรับคำถามสำคัญที่ว่า MacBook Pro M3 เหมาะกับใคร กลุ่มเป้าหมายหลักๆ ของรุ่นนี้ คงหนีไม่พ้นผู้ใช้งาน MacBook Pro เดิมที่ใช้ชิป Intel รวมถึงกลุ่มผู้ใช้งานโน้ตบุ๊กในฝั่งของวินโดวส์ที่มองหาโน้ตบุ๊กประสิทธิภาพสูงมาใช้งาน ที่ได้ทั้งเรื่องของความแรง การพกพา และที่สำคัญคือแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ต่อเนื่อง
เพราะจุดขายหลักของ MacBook Pro ที่มากับชิปตระกูล M ทั้งหลายคือเรื่องของประสิทธิภาพต่อพลังงาน (Performance per Watt) ที่กลายเป็นว่า MacBook Pro ทำออกมาได้น่าประทับใจกว่าในฝั่งของ Intel โดยเฉพาะในแง่ของการรีดพลังงานมาใช้ในการประมวลผลแบบต่อเนื่อง หรือแง่ของการประหยัดแบตเตอรี่เมื่อใช้งานทั่วๆ ไป
ดังนั้น ถ้าเป็นกลุ่มที่ใช้ MacBook Pro ชิป Intel อยู่ ถ้าเปลี่ยนข้ามมาใช้งาน MacBook Pro ที่มากับ M3 จะเห็นถึงความต่างชัดเจน และที่สำคัญคือช่วยให้ประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
กลับกันถ้าใช้งาน M1 อยู่ และมองหาเครื่องรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาช่วยให้การทำงานเร็วขึ้น โดยไม่ได้มีข้อจำกัดในแง่ของงบประมาณ ทั้ง M3 Pro และ M3 Max นับเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ากับการใช้งานในระยะยาวอยู่แล้ว เพราะจะช่วยย่นระยะเวลาในการประมวลผลหนักๆ ลงมาได้ โดยเฉพาะสายครีเอเตอร์ ตัดต่อ กราฟิก หรือแม้แต่นักพัฒนาก็ตาม
อีกกลุ่มที่น่าสนใจเพิ่มขึ้นในปีนี้ คือ บรรดาสายเกมที่แต่เดิมผู้ใช้งาน Mac อาจจะต้องมองข้ามเรื่องของการเล่นเกมไปเลย แต่ในปีนี้ในไลน์อัปของ Apple M3 ถือว่าปรับปรุงมารองรับการเล่นเกมได้น่าสนใจ ทั้งการเพิ่ม Ray Tracing มาช่วยทำให้แสง และเงามีความสมจริงมากขึ้น
ประกอบกับการดึงนักพัฒนาเกมเข้ามาพอร์ตเกมลงใน Store มากขึ้น จึงทำให้ตอนนี้ MacBook Pro M3 กลายเป็นอีกหนึ่งดีไวซ์พกพาที่สามารถใช้เล่นเกมได้ด้วย ซึ่งแน่นอนว่าอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่เห็นทิศทางที่สดใสมากขึ้นเช่นกัน
สรุป
ใครที่กำลังตัดสินใจเลือกใช้งาน MacBook Pro การวางจำหน่ายในรอบนี้ถือว่า Apple ทำออกมาได้ตรงโจทย์มากที่สุด ทั้งตัวเลือกเริ่มต้น M3 ที่ได้ดีไซน์เครื่องในยุคปัจจุบัน พอร์ตครบ หน้าจอสวย มาให้ใช้งาน กลับกันถ้าต้องการประสิทธิภาพที่สูงขึ้น M3 Pro และ M3 Max ก็มีให้เลือกใช้งาน
โดยในแง่ของประสิทธิภาพการทำงาน M3 Max มีความแรงทัดเทียมกับ M1 Ultra ได้เลย นั่นแปลว่าจากเดิมใครที่ต้องใช้งานเครื่องประมวลผลหนักๆ ตัวเลือกในตลาดมีเพียงคอมพิวเตอร์แบบเดสก์ท็อป ในรอบนี้ MacBook Pro M3 Max สามารถเข้ามาตอบโจทย์ได้แล้ว และยังสามารถพกพาไปใช้งานได้ด้วย
ทั้งนี้ ราคาจำหน่ายของ MacBook Pro M3 รุ่น 14 นิ้ว เริ่มต้นที่ 59,900 บาท M3 Pro เริ่มต้นที่ 79,900 บาท และ M3 Max เริ่มต้น 121,900 บาท