แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงใน Apple Watch Ultra 2 และ Apple Watch 9 ทั้งรุ่น 45 มม. และ 41 มม. จะไม่ได้มีการปรับปรุงในแง่ของดีไซน์ตัวเครื่องที่แสดงให้เห็นเด่นชัดมากนัก แต่เน้นการปรับปรุงภายในให้ทำงานได้รวดเร็ว และมีประโยชน์กับการใช้งานมากขึ้น
แต่เชื่อว่าท้ายที่สุดแล้ว Apple Watch ใหม่ทั้ง 2 รุ่นนี้ จะเป็นตัวเลือกแรกของผู้ที่ใช้งาน iPhone ซึ่งกำลังมองหาสมาร์ทวอทช์มาใช้งาน ทั้งกลุ่มที่เคยใช้รุ่นก่อนหน้าอยู่แล้ว และถึงเวลาที่จะเปลี่ยน รวมถึงที่อัปเกรดจากแบรนด์อื่นๆ มาใช้งาน จากการทำงานในอีโคซิสเต็มที่สมบูรณ์แบบ
ข้อดี
หน้าจอแสดงผลที่สว่างขึ้น Ultra 2 - 3,000 nits และ Watch 9 - 2,000 nits
มาพร้อมหน้าจอแบบติดตลอดเวลา (Always-On Display)
ลูกเล่นใหม่ Double Tap ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งานมือเดียว
ใช้หา iPhone แบบระบุตำแหน่งได้ด้วย
ชิปใหม่ S9 ที่ให้ประสิทธิภาพในการตอบสนองเร็วขึ้น
ข้อสังเกต
ตัวเรือนดีไซน์เดิม
หลายๆ ฟีเจอร์ที่มากับ watchOS 10 ทำให้รุ่นเก่าที่รองรับสามารถใช้งานได้อยู่แล้ว
แบตเตอรี่ในรุ่น Watch 9 ยังแนะนำให้ชาร์จทุกวันเช่นเดิม
เพิ่มลูกเล่นให้ใช้สะดวกขึ้น
สำหรับการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่เกิดขึ้นใน Apple Watch Ultra 2 และ Watch 9 ในปีนี้ หลักๆ เลยคือการเปลี่ยนมาใช้ชิป SiP รุ่น 9 ที่ช่วยให้การตอบสนองของนาฬิกาทำได้รวดเร็วขึ้น และเปิดประสบการณ์ใหม่ในการควบคุมโดยไม่ต้องใช้นิ้วสัมผัสที่หน้าจอ
ภายในของชิป S9 SiP จะมีการปรับปรุงหน่วยประมวลผลที่เป็นแบบ Dual-Core ที่ให้ประสิทธิภาพในการประมวลผลเร็วขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้าราว 60% และการประมวลผลกราฟิกเร็วขึ้น 30% ทำให้เมื่อทำงานร่วมกับ watchOS 10 ที่มีการปรับปรุงอินเตอร์เฟสใหม่ มีการนำ Neural Engine มาใช้งานจะช่วยให้การแสดงผลทำได้ลื่นไหลมากขึ้น
สิ่งที่ตามมาคือฟีเจอร์อย่าง Double Tap หรือ คำสั่งนิ้ว ‘แตะสองครั้ง’ ที่จะเริ่มเปิดให้ผู้ใช้งาน Apple Watch Ultra 2 และ Watch 9 หลังจากอัปเดต watchOS 10.1 ในช่วงปลายเดือนนี้ (ช่วงแรกที่วางจำหน่ายจะมากับ watchOS 10) ดังนั้น ใครที่ซื้อใช้งานอย่าลืมอัปเดตกันเพื่อเข้าถึงความสามารถนี้กัน
โดยฟีเจอร์ ‘แตะสองครั้ง’ จะเข้ามาช่วยให้ผู้ใช้ Apple Watch ไม่จำเป็นต้องใช้มืออีกข้างมาควบคุมสั่งงานนาฬิกาอีกต่อไป เพื่อใช้ในกรณีที่มือไม่ว่าง หรือมือเปื้อนอยู่ก็สามารถสั่งงานนาฬิกาในบางคำสั่งได้
สำหรับการใช้งานของ Double Tap ในช่วงแรกจะรองรับกับแอปที่มากับ watchOS อย่างการใช้เพื่อสั่งงานเพลง เล่น/หยุด การรับสายโทร.เข้า วางสาย หรือแม้แต่การตอบกลับข้อความด้วยเสียง กรณีที่มีข้อความแจ้งเตือนเข้ามาในนาฬิกา
รวมถึงการเข้าไปดูรายละเอียดต่างๆ ใน Smart Stack ที่เพิ่มขึ้นมาใหม่ใน watchOS 10 ซึ่งจะรวบรวมวิตเจ็ตสำคัญๆ ระหว่างวันให้ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลแบบเร็วๆ อย่างเช่นพยากรณ์อากาศ ข้อมูลการเคลื่อนไหว ตารางนัดหมาย หรือวิตเจ็ตที่ตั้งให้แสดงผลไว้
จุดที่น่าสนใจคือการออกคำสั่งด้วยนิ้วในการแตะสองครั้ง จะใช้พลังในการประมวลผลจากท่าทางของผู้ใช้ ซึ่งชิป S9 ที่ให้มาจะต้องทำงานร่วมกับเซ็นเซอร์ เพื่อตรวจจับท่าทางอย่างการยกแขนขึ้นมาดูหน้าจอ การสั่นสะเทือนของนาฬิกาเมื่อทำการแตะนิ้ว ซึ่งเท่าที่ลองใช้งานทำได้อย่างแม่นยำ
ในอนาคต เมื่อนักพัฒนาเห็นถึงความสามารถนี้มีโอกาสที่จะต่อยอดรูปแบบการใช้งานไปยังแอปอื่นๆ ที่ใช้งานได้บน Apple Watch เพิ่มเติม รวมถึงเป็นการฝึกให้ผู้ใช้งานเข้าถึงรูปแบบการสั่งงานใหม่จากการจีบนิ้ว เพื่อใช้บังคับใน Apple Vision Pro ซึ่งแอปเปิลมีแผนจะทำตลาดในอนาคตด้วย
ปรับความสว่างหน้าจอ-ใช้หา iPhone 15
นอกจากเรื่องของคำสั่งในการควบคุมรูปแบบใหม่แล้ว ใน Apple Watch Ultra 2 และ Watch 9 ยังมีการปรับปรุงเรื่องของการแสดงผลเพิ่มเติม โดยใน Watch 9 ทั้งรุ่น 41 มม. และ 45 มม. จะได้หน้าจอที่ความสว่างสูงสุดเพิ่มขึ้นเป็น 2,000 nits เทียบเท่ากับ Apple Watch Ultra รุ่นแรก
ในขณะที่ Ultra 2 จะเพิ่มความสว่างสูงสุดเป็น 3,000 nits ทำให้กลายเป็นอุปกรณ์แสดงผลของ Apple ที่ให้ความสว่างหน้าจอสูงที่สุดในบรรดาผลิตภัณฑ์ทั้งหมดที่ทำตลาดในเวลานี้ ซึ่งมีขึ้นเพื่อรับกับพฤติกรรมการใช้งานของ Ultra 2 ที่จะเน้นการผจญภัย และสมบุกสมบันที่กลางแจ้ง ทำให้ได้หน้าจอที่ชัดเจนตลอดเวลา
อีกความสามารถที่เพิ่มขึ้นมาจากการใช้เทคโนโลยี Ultrawide Band 2 ที่รอบนี้ Apple เลือกใส่มาให้ใน iPhone 15 ทั้งไลน์อัป ทำให้ผู้ใช้งาน Apple Watch สามารถกดสั่งค้นหา iPhone 15 เหมือนการค้นหา AirTag ได้แล้ว ซึ่งจะมีการบอกระยะ และทิศทางเพื่อนำทางไปหา iPhone 15 แบบแม่นยำ
ขณะที่ความสามารถอื่นๆ ถือว่าให้มาครบตั้งแต่รุ่นก่อนหน้านี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการวัดอัตราการเต้นของหัวใจ วัดค่าออกซิเจนในเลือด วัดการเต้นของหัวใจผิดจังหวะ รวมถึงเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิที่มีมาให้ในรุ่นที่แล้ว ทำให้ในปีนี้ Apple Watch 9 และ Ultra 2 ถือว่าเพิ่มความสมบูรณ์แบบมาให้ใช้งานมากยิ่งขึ้น
watchOS 10 อัปเดตใหญ่ไม่แพ้กัน
อย่างไรก็ตาม เป็นที่รู้กันว่าความสามารถบางอย่างที่เพิ่มขึ้นของ Apple Watch มักจะมาจากการอัปเกรด watchOS ที่มีการอัปเกรดระบบปฏิบัติการใหม่ในทุกๆ ปี ซึ่งในรอบของการอัปเดต watchOS 10 ของปีนี้ นับเป็นหนึ่งในการอัปเกรดใหญ่ที่เข้ามาเปลี่ยนรูปแบบการเข้าถึงการใช้งานบางอย่างใน Apple Watch
ผู้ที่เพิ่งอัปเดตมาใช้งานบางคนอาจจะไม่ชินที่จากเดิมเวลาจะเข้า Control Center เพื่อเปิดเสียง หรือค้นหา iPhone จะใช้การลากนิ้วจากล่างหน้าจอขึ้น แต่พออัปเดตใหม่จะเปลี่ยนมาให้เข้าถึงศูนย์ควบคุมได้จากการกดที่ปุ่มด้านข้างแทน
ส่วนการปัดจากล่างหน้าจอจะเป็นการเข้าสู่หน้า Smart Stack ที่รวมวิตเจ็ตต่างๆ มาไว้ให้เข้าถึงแทน ขณะที่การกดปุ่มเม็ดมะยม จะเป็นการเข้าถึงแอปทั้งหมดในตัวเครื่อง และใช้การหมุนเพื่อเลื่อนอยู่เช่นเดิม
ขณะที่ Watch Ultra 2 จะเพิ่มมาตรงที่มีปุ่ม Action Button มาให้เพื่อเรียกใช้งานคำสั่งด่วน อย่างการเข้าถึงโหมดติดตามการออกกำลังกาย หรือการเข้าเข็มทิศ และยังมีฟีเจอร์ขอความช่วยเหลือในการส่งสัญญาณ SOS ให้เรียกใช้งานอยู่เช่นเดิม
สำหรับโหมดออกกำลังกายที่ได้รับการปรับปรุงใน watchOS 10 รอบนี้คือเรื่องของการปั่นจักรยาน หลังจากที่ใน watchOS 9 เน้นเรื่องการวิ่งไปแล้ว ซึ่งในการอัปเดตนี้ ช่วยให้ผู้ใช้งาน Apple Watch สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์บลูทูธเข้ากับเซ็นเซอร์วัดรอบขา วัดความเร็ว เพื่อเก็บข้อมูลเข้าไปใน Apple Watch ได้ทันที
นอกจากนี้ ยังเชื่อมต่อการทำงานร่วมกับหน้าจอของ iPhone เพื่อแสดงผลการออกกำลังระหว่างปั่นจักรยาน เมื่อทำการติดตั้ง iPhone ไว้ที่แฮนด์จักรยาน ก็สามารถดูความเร็ว อัตราการเต้นของหัวใจ และข้อมูลอื่นๆ ได้แบบเรียลไทม์
อีกโหมดที่น่าสนใจคือเรื่องของสุขภาพจิต ที่จะมีแอป Mindfulness เข้ามาช่วยให้เราบันทึกสภาพอารมณ์ในแต่ละช่วงเวลาของวัน เสริมจากแอป Breath ที่ใช้ควบคุมการหายใจ ซึ่งในช่วงหลังประเด็นเรื่องของสุขภาพจิตมีความสำคัญมากขึ้นกับการใช้ชีวิต
รวมถึงการตรวจจับว่าในแต่ละวันได้รับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ หรือการออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้งต่างๆ เพราะมีการวิจัยแล้วว่า ในแต่ละวันควรได้รับแสงสว่างในช่วงเวลากลางวันประมาณ 20 นาที สำหรับผู้ใหญ่จะช่วยลดความเสี่ยงในแง่ของสุขภาพจิตได้
ราคาจำหน่าย
สำหรับราคาจำหน่ายของ Apple Watch 9 รุ่น GPS จะเริ่มต้นที่ 15,900 บาท ในตัวเรือนอะลูมิเนียมขนาด 41 มม. และ 16,900 บาท สำหรับตัวเรือน 45 มม. ส่วนถ้าเป็นรุ่น Cellular จะเพิ่มขึ้นเป็น 19,900 บาท และ 20,900 บาท ตามลำดับ
ในขณะที่ Apple Watch Ultra 2 ที่เป็นตัวเรือนไทเทเนียม ขนาด 49 มม. จะมีเฉพาะรุ่น Cellular ในราคา 31,900 บาท นอกจากนี้ ยังมีตัวเลือก Apple Watch SE ที่ราคาเริ่มต้น 9,490 บาท เป็นตัวเลือกให้ใช้งานเพิ่มเติมด้วย โดย Apple Watch รุ่นใหม่ในปีนี้จะเริ่มวางจำหน่ายในวันที่ 17 ตุลาคม 2566
สรุป
เมื่อดูถึงโดยรวมแล้ว ความสามารถใหญ่ที่เพิ่มขึ้นในปีนี้คือเรื่องของ Double Tap เป็นหลัก ดังนั้นจึงกลายเป็นว่า ผู้ที่ใช้งาน Apple Watch รุ่นเดิมอยู่อย่าง Watch 6-8 ที่แบตเตอรี่ยังไม่เสื่อมสามารถใส่ใช้งานได้ ก็ไม่มีความจำเป็นมากที่จะต้องเปลี่ยนมาใช้งานรุ่นใหม่นี้ เพราะไม่ได้มีฟีเจอร์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
แต่ถ้าปัจจุบันยังไม่ได้ใช้งาน Apple Watch มีแผนที่จะเลือกซื้อมาใช้งานคู่กับ iPhone หรือ Watch รุ่นเก่าเริ่มใช้งานไม่ได้แล้ว Apple Watch 9 และ Ultra 2 ในปีนี้ ก็นับเป็นตัวเลือกที่ให้ความครบถ้วนในแง่ของการเป็นนาฬิกาสมาร์ทวอทช์สำหรับผู้ใช้ iPhone ได้เต็มประสิทธิภาพที่สุดแล้ว