แม้ว่าในปีนี้ iPhone 15 และ iPhone 15 Plus จะไม่ใช่รุ่นเด่นของ Apple ในการเปิดตัวไอโฟนรุ่นใหม่ แต่เชื่อว่าในระยะยาวยอดขายของ iPhone 15 จะได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาดอยู่เช่นเดิม โดยเฉพาะหลังจากที่ผู้บริโภคเริ่มได้สัมผัสเครื่องจริง และเห็นสีสันที่น่าสนใจของรุ่นนี้
จุดเด่นของ iPhone 15 ในปีนี้ นอกจากได้ซีพียูรุ่นแรงอย่าง A16 Bionic ที่ใช้งานใน iPhone 14 Pro รุ่นปีที่ผ่านมาแล้ว หน้าจอยังได้เทคโนโลยี Dynamic Island มาเพิ่มลูกเล่นในการใช้งานบน iOS 17 เมื่อรวมกับสีสันที่มีให้เลือกถึง 5 สี และน้ำหนักตัวเครื่องที่เบา ถือใช้งานง่ายน่าจะถูกใจผู้ใช้งานทั่วไปอยู่ไม่น้อย และที่สำคัญคือการอัปเกรดระบบปฏิบัติการต่อเนื่องของ iOS ทำให้มั่นใจว่าใช้งานได้ยาวๆ
ข้อดี
หน้าจอ Super Retina XDR ความสว่างสูงสุด 2,000 nits พร้อม Dynamic Island
กล้องหลักอัปเกรดเป็น 48 ล้านพิกเซล ให้คุณภาพที่ดีขึ้น
USB-C รองรับการเชื่อมต่อได้หลากหลาย ชาร์จเร็วสูงสุดที่ 27W
ตัวเครื่องเบา ถือใช้งานง่าย สีสันสวยงาม
ข้อสังเกต
อัตราการแสดงผลหน้าจอยังอยู่ที่ 60 Hz ไม่เป็น Pro Motion 120 Hz
พอร์ต USB-C ที่ให้มาเป็น USB 2 ความเร็วไม่ต่างจาก Lightning
ระยะถ่ายภาพ 2x เป็นการครอบเซ็นเซอร์จากเลนส์หลักลงมา
ไม่ต้องขยับไปรุ่น Pro ก็ได้ฟีเจอร์แบบ Pro
ความน่าสนใจของ iPhone 15 และ iPhone 15 Plus ในปีนี้ คือการที่ได้ฟีเจอร์จากรุ่น Pro หลายส่วนใส่มาให้ใช้งาน ทำให้ผู้บริโภคที่เน้นการใช้งานสมาร์ทโฟนทั่วไปไม่มีความจำเป็นต้องกระโดดข้ามไปรุ่น Pro เพื่อให้ได้บางฟีเจอร์มาใช้งาน จนทำให้ iPhone 15 รุ่นของปีนี้มีความน่าสนใจ และจะเป็นหนึ่งในตัวเลือกสำหรับผู้ที่มีแผนจะเปลี่ยนเครื่องรุ่นใหม่
ที่บอกว่า iPhone 15 (รวม iPhone 15 Plus) ได้ความสามารถ Pro มาด้วย จะเริ่มจากการที่ได้ความสามารถของ Dynamic Island และชิป A16 Bionic ที่แต่เดิมเคยอยู่ใน iPhone 14 Pro มาใช้งานในรุ่นของปีนี้ โดยเฉพาะเรื่องของชิปเซ็ตที่แม้ว่า Apple จะออกรุ่นใหม่อย่าง A17 Pro มา แต่ในความเป็นจริง A16 Bionic ก็นับเป็นชิปมือถือที่แรงลำดับต้นๆ ของตลาดอยู่แล้ว
ขณะที่ Dynamic Island จะมาช่วยเพิ่มความสะดวกในการใช้งานมือถือให้เพิ่มเติม ในยุคที่ข้อมูลหลายๆ อย่างสามารถตรวจสอบได้อย่างเรียลไทม์ ที่เห็นได้อย่างเรื่องของการสั่งอาหารเดลิเวอรีต่างๆ ที่ปัจจุบันหลายๆ แอปพัฒนาให้รองรับการใช้งานร่วมกับ Dynamic Island แล้ว หรือแม้แต่ผู้ที่ติดตามผลกีฬาฟุตบอล หรือ F1 ก็มีรายงานผลสดให้ดูผ่าน Dynamic Island
นอกจากนี้ iPhone 15 ยังได้กล้องเลนส์หลัก 48 ล้านพิกเซลมาให้ใช้งาน ทำให้การถ่ายภาพบน iPhone 15 เมื่อใช้งานเลนส์หลักจะได้ความสามารถไม่แตกต่างจากในรุ่น Pro ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี Quad Pixel ในการถ่ายภาพความละเอียดสูง 48 หรือ 24 MP เมื่อถ่ายภาพในระยะปกติ และยังได้ความสามารถซูม Optical 2x จากการครอบเลนส์หลัก ให้ได้ภาพซูมความละเอียด 12 MP เพิ่มขึ้นมาด้วย
หรือแม้แต่การถ่ายภาพยุคใหม่ที่กล้องจะตรวจจับในโหมดถ่ายภาพปกติ ถ้าเจอคน หมา หรือแมว ตัวกล้องจะทำการถ่ายภาพที่เก็บรายละเอียดชัดลึกมาด้วย เพื่อให้ผู้ใช้ปรับเลือกโหมดบุคคล (Portrait) ทีหลัง เพื่อเลือกจุดโฟกัส ทำให้การถ่ายภาพทำได้รวดเร็วมากขึ้น ซึ่งใน iPhone 15 ก็ได้ความสามารถนี้เช่นเดียวกัน
งานถ่ายวิดีโอบน iPhone 15 ก็นับเป็นอีกส่วนที่ได้ความสามารถ Pro มาด้วย เพราะรองรับการถ่าย 4K60fps ทำให้ได้วิดีโอความละเอียดสูงที่ให้ความลื่นไหลของภาพ ร่วมกับระบบกันสั่นที่ iPhone ทำมาตรฐานมาได้อย่างดี หรือแม้แต่โหมด Cinematic และ Action Mode ก็มีมาให้ใช้งานด้วย
อีกจุดสำคัญที่เปลี่ยนแปลงใน iPhone 15 รอบนี้คือเรื่องของ USB-C ที่แม้ว่าในรุ่นนี้จะให้มาเป็น USB 2 ที่โอนถ่ายข้อมูลได้ความเร็วประมาณ 480 Mbps เทียบเท่ากับพอร์ตเดิมอย่าง Lightning แต่ความสะดวกที่ได้เพิ่มเข้ามาถือว่าเป็นจุดที่ยอมรับได้
ไม่ว่าจะเป็นการชาร์จด้วย USB-C ร่วมกับ Macbook หรือดีไวซ์อื่นๆ ที่ให้ความเร็วสูงสุดที่ 27W ความสะดวกในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมต่างๆ รวมถึงหน้าจอที่ความละเอียด 4K60 HDR ที่รองรับ Dolby Vision ทำให้สามารถเชื่อมต่อ iPhone เข้ากับหน้าจอโทรทัศน์เพื่อรับชมคอนเทนต์ต่างๆ ได้ด้วย ทำให้โดยรวมแล้วการเปลี่ยนมาใช้งาน USB-C ช่วยเพิ่มความสะดวกให้ผู้ที่ใช้งานหลายดีไวซ์ ไม่ต้องคอยพกสายอื่นใช้งาน
แน่นอนว่า ด้วยราคาของ iPhone 15 และ iPhone 15 Plus ที่เปิดมาอยู่ในช่วง 3-4 หมื่นบาท ทำให้หลายคนหันกลับไปมองรุ่น iPhone 14 Pro ซึ่งมีการปรับราคาจำหน่ายลง และยังมีเครื่องเหลือในกลุ่มตัวแทนจำหน่าย ซึ่งถ้าไม่ได้ต้องการ USB-C การเลือกซื้อ iPhone 14 Pro ในช่วงนี้ก็ตอบโจทย์การใช้งานได้ไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม ใน iPhone 15 ก็จะยังไม่ได้รับความสามารถบางส่วนของรุ่น Pro อย่างเช่นหน้าจอ ProMotion 120 Hz กล้องเทเลโฟโต้ ปุ่ม Action Button ความเร็วในการโอนถ่ายไฟล์ด้วย USB 3 หรือแม้แต่การเชื่อมต่อ WiFi 6E ซึ่งถ้ามองว่าความสามารถเหล่านี้ไม่ได้จำเป็นกับการใช้งาน iPhone 15 ก็เพียงพอแล้ว
สีสัน และความเบาช่วยตัดสินใจง่ายขึ้น
นอกจากเรื่องของฟีเจอร์ การที่ iPhone 15 มากับสีสันตัวเครื่องที่หลากหลายถึง 5 สี ช่วยให้กลุ่มผู้ใช้งานที่ชื่นชอบในเรื่องของสีตัวเครื่องตัดสินใจได้ง่ายขึ้น โดยในรุ่นนี้มากับ 5 สี ประกอบด้วย ดำ ฟ้า เขียว เหลือง และชมพู ที่จะเป็นโทนพาสเทลอ่อนๆ และมีการเก็บดีเทลสีของตัวเครื่องที่น่าสนใจ
ตัวเครื่องของ iPhone 15 และ iPhone 15 Plus จะมีขนาดใกล้เคียงกับรุ่นก่อนหน้า โดย iPhone 15 มีขนาด 147.6 x 71.6 x 7.8 มม. น้ำหนัก 171 กรัม ขณะที่ iPhone 15 Plus ขนาด 160.9 x 77.8 x 7.8 มม. น้ำหนัก 201 กรัม ซึ่งวัสดุหลักของตัวเครื่องยังทำจากอะลูมิเนียมอยู่ แต่มีการลบความเหลี่ยมที่ขอบเครื่องลงทำให้จับถือได้ถนัดมือมากขึ้นด้วย
หน้าจอของ iPhone 15 อยู่ที่ 6.1 นิ้ว ความละเอียด 2556 x 1179 พิกเซล ส่วน iPhone 15 Plus อยู่ที่ 6.7 นิ้ว ความละเอียด 2796 x 1290 พิกเซล ให้ความสว่างสูงสุดที่ 2000 nits ซึ่งหน้าจอ Super Retina XDR รองรับการแสดงผล HDR ผ่านมาตรฐานสี Wide Color P3
จุดที่ทำให้ iPhone 15 น่าสนใจคือเรื่องของการผสมสีเข้าไปในผิวโลหะ และกระจก ทำให้ขอบเครื่องของ iPhone 15 ที่ทำจากเฟรมอะลูมิเนียมให้สีสันเดียวกับบริเวณฐานของกล้อง ขณะที่กระจกหลัง Apple ได้นำไอออนโลหะความละเอียดสูงมาผสมเข้าไปในกระจก ก่อนนำไปขัดเงา และกัดผิวด้าน ทำให้ผิวสัมผัสของ iPhone 15 มีความหรูหราแตกต่างจากรุ่นแฟลกชิปอื่นในท้องตลาด
รายละเอียดของสีต่างๆ ยังส่งผลไปถึงจุดเล็กๆ อย่างในช่อง USB-C ตัวคอนเน็กเตอร์ที่อยู่ภายในก็จะใช้สีเดียวกับตัวเครื่อง หรือสายอากาศที่อยู่กับขอบเครื่องจะเป็นสีโทนเดียวกับฝาหลัง แสดงให้เห็นถึงการเก็บรายละเอียดของ Apple ในแง่ของดีเทลสีได้อย่างชัดเจน
ทั้งนี้ รอบเครื่อของ iPhone 15 ทางด้านขวายังมากับปุ่มเปิดเครื่อง และเรียกใช้งาน Siri ฝั่งซ้าย เป็นปุ่มเปิด-ปิด และปรับระดับเสียง ยังไม่มี Action Button มาให้ใช้งาน โดยยังมีถาดนาโนซิมการ์ดมาให้ โดยตัวเครื่องรองรับการใช้งาน eSIM ด้วย ทำให้สามารถใช้งาน 5G 2 ซิมได้
ในส่วนของการเชื่อมต่อรองรับ WiFi 6 บลูทูธ 5.3 เพิ่มเติมด้วยชิป Ultra Wide Band มาช่วยในการระบุตำแหน่งที่แม่นยำมากขึ้นผ่าน Find My ซึ่งช่วยให้สามารถใช้หาเพื่อนที่ใช้งาน iPhone 15 แบบระบุทิศทางได้ และมี NFC มาให้ใช้งาน
ส่วนของแบตเตอรี่ แอปเปิลระบุว่า iPhone 15 สามารถเล่นวิดีโอต่อเนื่องได้ 20 ชั่วโมง ในขณะที่ iPhone 15 Plus ที่มีขนาดใหญ่กว่าจะเล่นวิดีโอได้ 26 ชั่วโมง พร้อมความสามารถชาร์จเร็วสูงสุด 27W ซึ่งถ้าชาร์จกับอะแดปเตอร์ 20W จะชาร์จได้ 50% ใน 35 นาที โดยสาย USB-C แบบถักที่แถมมาให้ในกล่องรองรับการชาร์จสูงสุดได้ถึง 60W ทำให้สามารถใช้ชาร์จอุปกรณ์อื่นได้ด้วย
ที่ฝาหลังตัวเครื่องยังรองรับการใช้งาน MagSafe ที่สามารถชาร์จ iPhone แบบไร้สายได้ที่ 15W หรือถ้าผ่านมาตรฐาน Qi จะอยู่ที่ 7.5W โดยเมื่อชาร์จในแนวนอนจะสามารถใช้ฟีเจอร์อย่าง Stand by ที่มาใน iOS 17 ไว้แสดงผลรายละเอียดนาฬิกา และข้อมูลต่างๆ ได้ เพียงแต่จะต้องแตะเพื่อดูเนื่องจากไม่ใช่หน้าจอแบบติดตลอดเวลา (Always On Display)
สรุป
ในระยะยาว iPhone 15 จะกลายเป็นตัวเลือกของผู้ใช้งาน iPhone ที่สนใจเปลี่ยนจากรุ่นเก่าหรือผู้ที่ใช้งาน iPhone 12 ลงไป และเครื่องถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนแล้ว ซึ่งผู้ใช้กลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะเปลี่ยนเครื่องทุกๆ 3-4 ปี ไม่ใช่กลุ่มผู้ใช้งานที่เป็น Early Adopter ซึ่งเปลี่ยนเครื่องทุก 1-2 ปี และกลายเป็นว่าฐานของผู้ใช้งานกลุ่มนี้จะมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความเป็นอีโคซิสเต็มของ Apple
ที่สำคัญเลยคือเรื่องของสีสันตัวเครื่องที่เชื่อว่าเมื่อได้สัมผัสแล้วจะโดนใจใครหลายๆ คน ซึ่ง iPhone 15 วางจำหน่ายในรุ่นเริ่มต้น 128 GB ราคา 32,900 บาท ส่วน iPhone 15 Plus ราคาเริ่มต้นที่ 37,900 บาท แล้วแต่ความชื่นชอบเลยว่าอยากได้เครื่องเล็กจับถนัดมือ หรือหน้าจอใหญ่ไว้ใช้งาน