ความเปลี่ยนแปลงสำคัญที่เกิดขึ้นในการเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ ทั้ง iPhone 15 และ iPhone 15 Pro คือเรื่องของการเปลี่ยนมาใช้พอร์ต USB-C ที่เป็นมาตรฐาน ทำให้รองรับการใช้งานร่วมกับอุปกรณ์อื่นได้มากขึ้น
ในขณะเดียวกัน แอปเปิลมีการอัปเกรดเพิ่มเติมในหลายส่วนให้ผู้ใช้งานที่ถึงเวลาเปลี่ยนเครื่องใหม่ ได้รับประสบการณ์ใช้งานที่ดีขึ้น หรือแม้แต่กลุ่มผู้ใช้งานระดับโปรที่ต้องการ iPhone 15 Pro Max ไปใช้เพื่อสร้างสรรค์งานที่มีคุณภาพ เพราะมีการพัฒนาในส่วนของกล้องเทเลโฟโต้ให้ซูมได้ถึง 5 เท่า
ที่สำคัญคือราคาจำหน่ายของ iPhone 15 ไม่ได้ปรับขึ้นเหมือนในข่าวลือที่ออกมาก่อนหน้านี้ จะมีเพียงในรุ่น iPhone 15 Pro Max ที่แอปเปิลตัดสินใจขายรุ่นเริ่มต้นเป็น 256 GB แทนที่ 128 GB ทำให้ราคาของรุ่นเริ่มต้นขยับเพิ่มขึ้น แต่เมื่อเทียบแล้วถือว่าเป็นราคาเดียวกับ iPhone 14 Pro Max ในปีที่ผ่านมา
ราคาเริ่มต้น
- iPhone 15 128 GB - 32,900 บาท
- iPhone 15 Plus 128 GB - 37,900 บาท
- iPhone 15 Pro 128 GB - 41,900 บาท
- iPhone 15 Pro Max 256 GB - 48,900 บาท
***iPhone 15 พร้อม Dynamic Island
สำหรับการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่เกิดขึ้นใน iPhone 15 หน้าจอ 6.1 นิ้ว และ iPhone 15 Plus หน้าจอ 6.7 นิ้ว คือผู้ใช้งานซีรีส์เริ่มต้นนี้ จะได้ใช้งานหน้าจอ Super Retina XDR ที่มากับ Dynamic Island แล้ว เพียงแต่จะยังไม่ได้เทคโนโลยี Pro Motion และ Always On Display เหมือนในรุ่น Pro
ประโยชน์ในการใช้งาน Dynamic Island คือช่วยเพิ่มพื้นที่ในการแสดงผล Live Activity ในขณะที่ใช้งานแอปอื่นๆ อย่างการควบคุมเครื่องเล่นเพลงระหว่างการใช้งานแอปโซเชียล เป็นต้น
พร้อมกันนี้ ได้มีการอัปเกรดกล้อง iPhone 15 ให้มาใช้เลนส์หลัก 48 ล้านพิกเซล รวมถึงชิปเซ็ต Apple A16 Bionic จากใน iPhone 14 Pro มาให้ใช้งานด้วยเช่นกัน ซึ่งกลายเป็นว่า iPhone 15 และ iPhone 15 Plus ได้เครื่องที่เร็วขึ้น และกล้องคุณภาพดีขึ้น เมื่อเทียบกับ iPhone 14
ไฮไลต์อีกอย่างคือสีของ iPhone 15 ที่ในรอบนี้มีโทนสีใหม่ของทั้งสีฟ้า สีชมพู สีเหลือง สีเขียว และสีดำ ซึ่งมีความเป็นพาสเทลมากขึ้น เหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบสีสันโทนอ่อนๆ โดยเฉพาะสีชมพู ที่ออกมาคู่กับ Apple Watch 9 สีชมพูด้วยเช่นเดียวกัน ตัวเครื่องทำจากอะลูมิเนียมที่ปิดด้วยฝากระจกแต่งสี ส่วนหน้าจอใช้เซรามิก ชิลด์ ที่ให้ความแข็งแรงอยู่เช่นเดิม
อย่างไรก็ตาม iPhone 15 และ iPhone 15 Plus ถึงแม้จะเปลี่ยนมาใช้พอร์ต USB-C แต่ยังคงใช้เทคโนโลยี USB 2 ที่ให้ความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลไม่แตกต่างจาก Lightning ดังนั้น จึงยังไม่ได้ถูกใช้ประโยชน์มากนัก เพียงแต่ให้ความสะดวกในการใช้งานมากขึ้น รวมถึงยังไม่มีปุ่ม Action ที่เข้ามาแทนที่ปุ่มปิดการแจ้งเตือนด้วย
โดยแบตเตอรี่ของ iPhone 15 สามารถเล่นวิดีโอได้นานสุดที่ 20 ชั่วโมง ส่วน iPhone 15 Plus ใช้งานได้สูงสุดที่ 26 ชั่วโมง ชาร์จได้ 50% ใน 30-35 นาที เมื่อใช้กับอะแดปเตอร์ 20W ขึ้นไป
ส่วนการเชื่อมต่อ รองรับ 5G แบบซิมคู่ร่วมกับ eSIM WiFi 6 บลูทูธ 5.3 ทนน้ำ iP68 ที่ความลึก 6 เมตร นาน 30 นาที โดยยังรองรับการใช้งาน MagSafe เช่นเดิม เพื่อชาร์จไร้สาย และเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมอื่นๆ
***iPhone 15 Pro ชิปใหม่ A17 Pro กล้องซูมสูงสุด 5x
การเปลี่ยนมาใช้วัสดุไทเทเนียมที่แข็งแรงขึ้น น้ำหนักเบาลง ทำให้ iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max ในปีนี้มีความน่าสนใจขึ้น เพียงแต่กลายเป็นว่าการอัปเกรดกล้องซูม 5x มีเฉพาะบน iPhone 15 Pro Max เท่านั้น ในขณะที่ iPhone 15 Pro ยังได้การซูม 3x เช่นเดิม
จุดเด่นหลักของ iPhone 15 Pro และ Pro Max หนีไม่พ้นการใช้งานชิปใหม่ A17 Pro ที่ผลิตบนสถาปัตยกรรมแบบ 3 นาโนเมตร มากับ 6 คอร์ซีพียู 6 คอร์จีพียู และ 16 คอร์ Neural Engine โดยเฉพาะการเล่นเกมที่มากับ Ray Tracing ทำให้การแสดงผลลื่นไหลมากขึ้นด้วย
สิ่งที่ได้ก็คือการใช้งาน iPhone 15 Pro ที่มีประสิทธิภาพในการเล่นเกมได้ไม่แตกต่างจากบนพีซีเครื่องใหญ่ เหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบเล่นเกม และมีโอกาสที่จะช่วยให้ประหยัดพลังงานมากขึ้นด้วย
ขณะที่กล้องใน iPhone 15 Pro Max เป็นรุ่นที่ได้รับการอัปเกรดมากที่สุด นอกจากเลนส์หลัก 48 ล้านพิกเซล ที่ปรับให้มีคุณภาพมากขึ้นแล้ว เลนส์ซูมยังได้นำเตตระปริซึม ที่เป็นโครงสร้างกระจกพับเพื่อสะท้อนแสง 4 ครั้ง ทำให้ได้ทางยาวโฟกัสที่ไกลกว่าเดิม จนสามารถซูมได้เทียบเท่าเลนส์ระยะ 120 มม. ส่วนใน iPhone 15 Pro จะยังคงมากับเลนส์ซูม 3x ที่ระยะ 77 มม. เท่าเดิม
นั่นแปลว่าบน iPhone 15 Pro Max จะสามารถถ่ายภาพได้ทั้งหมด 7 ระยะด้วยกัน ไล่ตั้งแต่มาโคร และ 13 มม. จากเลนส์มุมกว้าง ตามด้วยระยะ 24 มม. 28 มม. และ 35 มม. จากเลนส์หลัก ไปจนถึง 48 มม.-120 มม. จากเลนส์เทเลโฟโต้ที่ระยะ 5x
ของใหม่อีกอย่างใน iPhone 15 Pro คือการเปลี่ยนปุ่มปิดการแจ้งเตือน มาเป็น Action Button หรือปุ่มสารพัดประโยชน์แทน ที่ผู้ใช้สามารถเข้าไปเลือกตั้งค่าได้ อย่างการเรียกใช้งานกล้อง การปรับโหมดโฟกัส การเรียกบันทึกเสียงด่วน การเปิดไฟฉาย หรือใช้งานร่วมกับ Shortcuts ที่บันทึกไว้
ส่วน USB-C ใน iPhone 15 Pro ถือว่าใช้ประโยชน์ได้มากกว่าใน iPhone 15 อย่างชัดเจน ทั้งในเรื่องของความเร็วของ USB 3 ที่รองรับการถ่ายโอนไฟล์สูงุสด 10 Gbps เชื่อมต่อกับจอความละเอียด 4K หรือแม้แต่การบันทึกไฟล์วิดีโอ 4K60fps เข้าไปที่ไดรฟ์ SSD ภายนอกก็ได้เช่นเดียวกัน
ที่เหลืออย่างหน้าจอ 6.1 นิ้ว และ 6.7 นิ้ว ในรุ่น Pro จะได้ ProMotion 120 Hz ความสว่างสูงสุดที่ 2,000 nits มีปรับปรุงเพิ่มเติมในส่วนของการเชื่อมต่อไร้สายรองรับ WiFi 6E แบตเตอรี่ใช้งานได้สูงสุดที่ 23 ชั่วโมง และ 29 ชั่วโมง ในรุ่น iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max ตามลำดับ