นับเป็นครั้งแรกที่ Apple เลือกนำเสนอโน้ตบุ๊กในกลุ่มผู้ที่เริ่มต้นใช้งานอย่าง MacBook Air ในขนาดหน้าจอ 15 นิ้ว มาเพื่อเป็นตัวเลือกให้ผู้ใช้งานที่อยากได้โน้ตบุ๊กที่มีหน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่ แบตเตอรี่ใช้งานได้ต่อเนื่องกว่า 18 ชั่วโมง พร้อมประสิทธิภาพในการใช้งานจากชิป Apple M2 ที่รองรับการทำงานครบครัน
พร้อมกันนี้ เมื่อ MacBook Air 15 นิ้ว วางจำหน่าย จะทำให้ตัวเลือกในตระกูลของ MacBook Air มีให้เลือกครบถ้วนมากขึ้น ไล่ตั้งแต่ MacBook Air 13 นิ้ว M1 ในดีไซน์เดิม ตามด้วย MacBook Air 13 นิ้ว M2 และ MacBook Air 15 นิ้ว M2 ในระดับราคาเริ่มต้นที่ 34,900-47,900 บาท ช่วยให้ผู้ที่ต้องการแมคบุ๊กจอใหญ่ ไม่ต้องขยับไปจ่ายแพงขึ้นเพื่อ MacBook Pro อีกต่อไป
ข้อดี
หน้าจอ 15 นิ้ว Liquid Retina 1 พันล้านสี ความสว่างสูง 500 nits
ตัวเครื่องบางที่สุดในท้องตลาด เมื่อเทียบกับโน้ตบุ๊กจอ 15 นิ้ว
ลำโพง 6 ตัวให้เลือกรอบทิศทาง
แบตเตอรี่ใช้งานได้ต่อเนื่อง 18 ชั่วโมง
ข้อสังเกต
พอร์ตเชื่อมต่อยังจำกัดเพียง Thunderbolt4/USB-C และช่องเสียบหูฟังเท่านั้น
น้ำหนัก 1.51 กิโลกรัม อาจจะไม่เบามาก แต่ยังพอพกพาไปใช้งานได้
อะแดปเตอร์ชาร์จเร็ว 70W ต้องเลือกตั้งแต่ตอนสั่งซื้อออนไลน์
ตอบโจทย์ MacBook จอใหญ่ เครื่องบาง
ความน่าสนใจของ MacBook Air 15 นิ้ว นอกจากเป็นครั้งแรกที่แอปเปิลผลิตขนาดหน้าจอ 15.3 นิ้วออกมาทำตลาดแล้ว ยังกลายเป็นการเพิ่มความหลากหลายให้ MacBook Air กลับมาน่าสนใจอีกครั้ง จากที่ก่อนหน้านี้ถ้าจำกันได้ MacBook Air เคยทำตลาดใน 2 ขนาดหน้าจอมาก่อนคือ 11 นิ้ว และ 13 นิ้ว ก่อนที่จะปรับไลน์การผลิตลงมาทำเฉพาะ 13 นิ้วเท่านั้น
การขยับ MacBook Air มาอยู่ที่ 15 นิ้ว ด้วยการนำดีไซน์เดิมกับ MacBook Air 13 นิ้ว M2 มาใช้ ทำให้เชื่อได้ว่าหลังจากนี้ Apple จะยังใช้ดีไซน์นี้ในการทำตลาดต่อไปอีกหลายปี พร้อมกับการอัปเดตชิปเซ็ตภายในต่อเนื่องเป็น M3 หรือ M4 ในอนาคต เพราะนับว่าดีไซน์ปัจจุบันถือว่าตอบโจทย์การใช้งานโน้ตบุ๊กที่พกพาไปใช้งานที่ไหนก็ได้อยู่แล้ว
แน่นอนว่าจุดเด่นของ MacBook Air 15 นิ้ว หลักๆ แล้วจะอยู่ที่หน้าจอ Liquid Retina ขนาด 15.3 นิ้วที่ให้มา ซึ่งถือว่าเป็นจอที่ให้ความละเอียดสูง 2880 x 1864 พิกเซล รองรับการแสดงผลที่ 1 พันล้านสี บนมาตรฐานสีแบบ P3 ที่ให้ความสว่างหน้าจอสูงสุด 500 nits ซึ่งช่วยให้สามารถใช้งานได้ในหลากหลายสถานที่
นอกจากนี้ ตัวเครื่องยังมากับกล้อง FaceTime 1080p ทำให้รองรับการทำงานอย่างการประชุมออนไลน์ได้ด้วย ซึ่งยังคงดีไซน์หน้าจอแบบที่มีรอยแหว่งบากลงมากลางหน้าจออยู่เช่นเดิม ซึ่งหลังจากมีประสบการณ์ใช้งานมาสักพักแล้ว ก็ไม่ได้เป็นจุดที่สร้างความรำคาญในการใช้งานแต่อย่างใด
ถัดมาในแง่ของความบาง ตัวเครื่อง MacBook Air 15 นิ้ว มีขนาดอยู่ที่ 340.4 x 237.6 x 11.5 มิลลิเมตร หนาขึ้นมาจาก MacBook Air 13 นิ้ว ราว 0.2 มิลลิเมตรเท่านั้น ทำให้ปัจจุบัน MacBook Air 15 นิ้ว ถือเป็นโน้ตบุ๊กขนาดจอ 15 นิ้วที่บางที่สุดในท้องตลาด ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากการที่ชิป M2 นั้นไม่ต้องการพัดลมในการระบายความร้อน จึงทำให้สามารถออกแบบตัวเครื่องให้มีความบางได้
พอร์ตเชื่อมต่อรอบตัวเครื่องที่ให้มาจะมีทั้ง MagSafe 3 สำหรับเสียบชาร์จ Thunderbolt4/USB-C 2 พอร์ต ทางฝั่งซ้าย ส่วนฝั่งขวามีเพียงช่องเสียบหูฟังเท่านั้น ทำให้ยังคงต้องพึ่งพาอุปกรณ์เสริมอย่างอะแดปเตอร์เพื่อใช้เชื่อมต่อกับจอมอนิเตอร์ หรือการ์ดรีดเดอร์เพิ่มเติม ส่วนการเชื่อมต่อไร้สาย ตัวเครื่องรองรับ WiFi 6
ส่วนคีย์บอร์ดที่ให้มายังเป็น Magic Keyboard เช่นเดิม มี TouchID สำหรับปลดล็อกเครื่อง แต่จุดที่น่าสนใจเพิ่มเติมคือแทร็กแพดที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ตามขนาดของตัวเครื่อง ทำให้ในการใช้งานสามารถลากนิ้วได้สุดจอซ้าย-ขวาสบายๆ
ในแง่ของแบตเตอรี่ แม้ว่าตัวเครื่องจะมีขนาดใหญ่มากขึ้น แต่ด้วยหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นเช่นกัน ทำให้แบตเตอรี่ของ MacBook Air 15 นิ้ว ยังใช้งานได้ต่อเนื่องราว 18 ชั่วโมง เช่นเดียวกับใน MacBook Air 13 นิ้ว
ส่วนของอะแดปเตอร์ชาร์จในรุ่นนี้จะให้อะแดปเตอร์แบบ 35W ที่มีพอร์ต USB-C ให้ 2 ช่องเป็นมาตรฐาน และมีตัวเลือกเปลี่ยนเป็นอะแดปเตอร์ชาร์จเร็วแบบ 70W ที่เปลี่ยนมาใช้ GaN แทน ทำให้มีขนาดเล็กลงเมื่อเทียบกับอะแดปเตอร์ 67-69W เดิม
รองรับการใช้งานเต็มที่
การที่มีพื้นที่ในการแสดงผลมากขึ้น ยิ่งทำให้ประสบการณ์ใช้งานของ macOS ที่โดดเด่นในเรื่องของการทำ Multitasking มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น เพราะเมื่อรวมกับประสิทธิภาพของชิป M2 ที่แรงกว่าโน้ตบุ๊ก 15 นิ้วรุ่นยอดนิยมในตลาดกว่าเท่าตัว
ไม่ว่าจะเป็นการเปิดโปรแกรมใช้งานพร้อมกัน แบ่งครึ่งหน้าจอใช้งานระหว่างงานเอกสาร และโปรแกรมแชตต่างๆ หรือแม้แต่การใช้งานเว็บเบราว์เซอร์เพื่อหาข้อมูลไปพร้อมกับการทำคีย์โน้ตเพื่อพรีเซ็นต์งาน
ขณะเดียวกัน การทำงานของชิป M2 ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า สามารถรองรับการใช้งานทั่วไปได้สบายๆ หรือจะขยับขึ้นมาอย่างการทำกราฟิก หรือตัดต่อวิดีโอพื้นฐาน รองรับการใช้งานเพื่อความบันเทิงได้เต็มรูปแบบ
รวมถึงการที่ในรุ่นนี้ให้ลำโพงเพิ่มขึ้นมาเป็น 6 ตัว จากเดิมในรุ่น 13 นิ้ว ให้ลำโพงมา 4 ตัว ทำให้ระบบเสียงของเครื่องนี้ทรงพลังมากขึ้น และรองรับระบบเสียงรอบทิศทาง ทำให้การเล่นคอนเทนต์ที่รองรับ Dolby Atmos ได้อรรถรสในการรับชมอย่างเต็มที่
อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่ตัวเครื่องไม่มีพัดลมมาช่วยระบายความร้อน ทำให้เวลาใช้งานที่เกิดการประมวลผลหนักๆ แบบต่อเนื่องอย่างการเรนเดอร์วิดีโอ หรือการคอมเพรสไฟล์ขนาดใหญ่จะเกิดปัญหาความร้อนขึ้นทำให้ซีพียูล็อกการทำงานลง ซึ่งถ้าเทียบกับ MacBook Air รุ่น 13 นิ้ว ถือว่าดีขึ้น แต่ยังไม่สามารถเทียบกับ MacBook Pro 13 นิ้ว ที่ใช้ M2 ซึ่งได้ประสิทธิภาพในการประมวลผลต่อเนื่องที่ดีกว่า
ปรับราคารุ่นเดิม
อีกจุดที่น่าสนใจของการเปิดตัว MacBook Air 15 นิ้ว คือการที่แอปเปิลเลือกปรับลดราคา MacBook Air 13 นิ้ว เดิมลงมาเริ่มต้นที่ 39,900 บาท แต่จะเป็นรุ่นที่ได้ 8 Core CPU และ 8 Core GPU เมื่อรวม MacBook Air 13 นิ้ว M1 เริ่มต้นที่ 34,900 บาท ทำให้มีตัวเลือกที่น่าสนใจหลายรุ่นเลย
แต่ถ้าจะเทียบกับรุ่น 15 นิ้ว กับ 13 นิ้ว แบบสเปกเดียวกันจะเป็นรุ่นที่ใช้ 8 Core CPU และ 10 Core GPU ในรุ่น 13 นิ้ อยู่ที่ 42,900 บาท ดังนั้น ส่วนต่างของขนาดหน้าจอระหว่าง 13 นิ้ว และ 15 นิ้ว ซึ่งวางจำหน่ายที่ 47,900 บาท จะอยู่ที่ 5,000 บาท
สรุป
ในภาพรวมการเปิดทางเลือก MacBook Air จอใหญ่ 15 นิ้ว เข้ามาช่วยเปิดทางให้ผู้ที่ต้องการแมคบุ๊กจอใหญ่ ไม่ต้องขยับไปซื้อ MacBook Pro ที่มีราคาเฉียดแสนบาทอีกต่อไป ดังนั้นเชื่อได้ว่าจะเป็นอีกรุ่นที่ได้รับความนิยมในตลาดอย่างแน่นอน