ผลิตภัณฑ์อย่าง Mac mini น่าจะกลายเป็นหนึ่งในอุปกรณ์ที่ผู้ใช้สินค้า Apple หลายๆ คนอาจมองข้าม เพราะ Macbook เข้ามาตอบโจทย์ในแง่ของการพกพาใช้งานมากกว่า การเลือกซื้อ Mac mini เลยมักจะถูกปัดตกไป เช่นเดียวกับผู้ที่มองหาคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป ก็อาจจะเริ่มมองหาจากพีซีที่ใช้งานวินโดวส์ ซึ่งสามารถหาซื้อคอมพ์ประกอบประสิทธิภาพสูงมาใช้งานได้
แต่ในความเป็นจริง Mac mini นับเป็นหนึ่งในอุปกรณ์ที่ลงตัวมากๆ สำหรับผู้ที่ใช้งานผลิตภัณฑ์ในอีโคซิสเต็มของ Apple โดยเฉพาะผู้ที่มีจอมอนิเตอร์ใช้งานที่บ้าน หรือที่ทำงานอยู่แล้ว การเลือก Mac mini เข้าไปใช้งานจะช่วยตอบโจทย์เพิ่มเติมในทันที
ความโดดเด่นของ Mac mini อยู่ที่การได้คอมพิวเตอร์แมค ประสิทธิภาพสูงในราคาเริ่มต้นที่ 20,900 บาท ซึ่งจะได้เครื่องที่ทำงานบนชิป Apple M2 ซึ่งสามารถตอบโจทย์การทำงานทั่วไปได้ครบถ้วนทั้งหมด หรือถ้าต้องการประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นตัวเลือกอย่าง Apple M2 Pro ในราคา 45,900 บาท ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ
แน่นอนว่า การเลือกซื้อราคาเริ่มต้น 20,900 บาท อาจจะไม่ใช่ราคาที่จบสำหรับผู้ใช้งาน เพราะต้องมีอุปกรณ์เพิ่มเพื่อให้ใช้งานได้ ไม่ว่าจะเป็นมอนิเตอร์ (หลักพัน ถึงหลักหมื่นบาท) คีย์บอร์ด และเมาส์ดีๆ (รวมๆ กันหลายพันบาท) ถ้าใครที่ไม่ได้มีอุปกรณ์เดิมอยู่ก็อาจจะต้องเตรียมงบไว้ราว 3 หมื่นบาท
ข้อดี
เครื่อง Mac ประสิทธิภาพสูง รองรับการใช้งานในอีโคซิสเต็ม
ตัวเครื่องมีขนาดเล็ก ในดีไซน์ที่เรียบง่าย ทำให้จัดระเบียบโต๊ะทำงานได้ง่าย
รองรับการทำงานตั้งแต่ทั่วไป ถึงเฉพาะทางอย่างการตัดต่อวิดีโอ
พอร์ตเชื่อมต่อครบ
ข้อสังเกต
20,900 บาท ได้เฉพาะเครื่องเท่านั้น ต้องซื้ออุปกรณ์อื่นๆ เพิ่ม
เหมาะกับผู้ที่เน้นใช้ macOS ในการทำงานเป็นหลัก
ลำโพงในตัวมีให้ แต่ควรต่อลำโพงนอกดีกว่า
ใช้แมคในงบเริ่มต้น 20,900 บาท
ด้วยราคาเริ่มต้นของ Mac mini M2 ที่ 20,900 บาท ทำให้เครื่องรุ่นนี้นับเป็นแมครุ่นที่ราคาจับต้องได้มากที่สุดในตลาด ถูกกว่า MacBook Air ที่ปัจจุบันเริ่มต้น 34,900 บาท (ในรุ่น M1) หรือ 43,900 บาท (ในรุ่น M2) ทำให้ Mac mini จะกลายเป็นอุปกรณ์ที่น่าสนใจทั้งผู้ที่อยากลองใช้งานแมค หรือผู้ที่มีดีไวซ์อื่นใช้งานอยู่แล้ว แต่อยากได้เพิ่มมาไว้ใช้งานที่บ้าน หรือในออฟฟิศ
เพราะในการใช้เพื่อทำงานจริงๆ ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ที่เครื่องคอมพ์รุ่นเก่าเสีย มักจะมีคีย์บอร์ด และจอมอนิเตอร์เดิมอยู่แล้ว กรณีที่เดสก์ท็อปเสียก็สามารถซื้อ Mac mini เข้าไปเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เดิมใช้งานได้ทันที แทนที่จะเสียเงินเพิ่มเกือบเท่าตัวไปซื้อ MacBook Air ก็จะประหยัดได้มากกว่า
หรือในอีกมุมช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดที่ผ่านมา หลายๆ คนต้องหันมาทำงานจากที่บ้าน ทำให้มีการซื้อมอนิเตอร์มาต่อกับโน้ตบุ๊กที่ทำงานเพื่อให้รองรับการทำงานได้มากขึ้น การซื้อ Mac mini เข้ามาจะช่วยให้การทำงานที่บ้านได้สะดวกขึ้น ไม่ต้องมาคอยเชื่อมต่อโน้ตบุ๊กเวลาทำงาน
นอกจากนี้ ยังมีในแง่ของการเลือกซื้อมาใช้งานเป็นคอมพ์สำหรับทุกคนในบ้าน Mac mini ก็ถือว่าตอบโจทย์เพราะสามารถแบ่ง User ใช้งานกันได้ทั้งครอบครัว รองรับทั้งการใช้งานทั่วไป การทำงาน หรือแม้แต่การเล่นเกมในระดับเริ่มต้น แทนที่ iMac M1 ที่เริ่มต้นราว 45,900 บาท
กลับกันถ้าเป็นในกลุ่มของเพาเวอร์ยูสเซอร์ที่ต้องการเครื่องประสิทธิภาพสูงขึ้นมาแต่มีงบจำกัด Mac mini ที่มากับ M2 Pro ในราคาเริ่มต้น 45,900 บาท ก็รองรับการใช้งานที่รีดประสิทธิภาพตัวเครื่องอย่างการตัดต่อวิดีโอ หรือการเขียนโปรแกรมได้ด้วย ก่อนที่จะขยับขึ้นไปใช้งาน Mac Studio
ทำให้ในภาพรวมแล้ว Mac mini ถือเป็นเครื่องแมคที่เข้าไปตอบช่องว่างของการเลือกใช้งานคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปได้อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่ต้องการเครื่องในดีไซน์ที่เรียบง่าย ไม่เน้นการพกพาไปใช้งานตามโจทย์ของคอมพ์ตั้งโต๊ะ
ดีไซน์เดิม แต่ยังล้ำอยู่
จุดที่น่าเสียดายอย่างหนึ่งของ Mac mini คือยังไม่ทำให้ดีไซน์ตัวเครื่องเล็กลง ยังคงใช้ดีไซน์เดิมกับรุ่นแรกที่ออกมาวางจำหน่าย ซึ่งก่อนหน้านี้อาจจะมีความจำเป็นในการใช้พื้นที่สำหรับพัดลมระบายอากาศ แต่พอมาเป็นชิป M2 ที่สามารถตัดพัดลมระบายอากาศออกไปได้แล้ว ก็ยังคงใช้ดีไซน์เดิมอยู่
สำหรับขนาดของ Mac mini จะอยู่ที่ 19.7 x 19.7 x 3.58 เซนติเมตร น้ำหนักเริ่มต้น 1.18 กิโลกรัม ซึ่งวัสดุหลักที่ใช้จะเป็นอะลูมิเนียมรีไซเคิล 100% โดยภายในกล่องจะมีให้มาเฉพาะตัวเครื่อง และสายไฟเท่านั้น
ส่วนในแง่ของพอร์ตเชื่อมต่อที่ให้มา ในรุ่นเริ่มต้น M2 จะมีช่องเสียบสาย LAN แบบ Gigabit พอร์ต Thunderbolt 4 จำนวน 2 พอร์ต ช่องเสียบ HDMI พอร์ต USB-A อีก 2 พอร์ต และช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. ในขณะที่รุ่น M2 Pro จะเพิ่มพอร์ต Thunderbolt 4 เป็นทั้งหมด 4 พอร์ต และสามารถเลือกเปลี่ยนพอร์ต LAN เป็น 10Gb Ethernet ได้ด้วย
ทำให้ในรุ่น M2 จะสามารถเชื่อมต่อหน้าจอได้สูงสุด 2 จอ คือผ่าน Thunderbolt 4 ที่ 6K60 Hz และ 5K60Hz หรือผ่าน HDMI ที่ 4K60Hz ส่วน M2 Pro จะเชื่อมต่อได้สูงสุดที่ 3 จอ 6K60Hz + 4K144Hz หรือเลือกใช้เป็น 8K60Hz คู่กับ 4K240Hz
โดยในรุ่นของ Mac mini M2 จะสามารถเลือกปรับแต่งหน่วยความจำได้ระหว่าง 8 GB เป็น 16 GB หรือ 24 GB ตัวจัดเก็บข้อมูล 256 GB 512 GB 1 TB และ 2 TB เพื่อให้รองรับกับรูปแบบการใช้งาน ในขณะที่ Mac mini M2 Pro จะมีหน่วยความจำให้เลือกเริ่มต้นที่ 16 GB และปรับเพิ่มเป็น 32 GB และพื้นที่เก็บข้อมูลสูงสุดที่ 8TB
สรุป เลือก Mac mini M2 หรือ M2 Pro ดี?
ในแง่ของการใช้งาน ถ้าต้องการเครื่องแมคที่มาใช้งานทั่วไป อย่างการทำงานเอกสาร ใช้งานเว็บเบราว์เซอร์ เพื่อความบันเทิง มีการทำกราฟิก หรือตัดต่อวิดีโอสั้นๆ เล็กน้อย ตัว M2 ก็นับว่าเพียงพอกับการใช้งานแล้ว
แต่ถ้าเป็นงานที่หนักขึ้นอย่างการทำกราฟิกที่มีความละเอียดสูง การโปรเซสรูปภาพจำนวนมากพร้อมๆ กัน หรือการตัดต่อวิดีโอ 4K ที่มีความยาวคลิปค่อนข้างนาน การขยับไปเป็นตัวเลือกอย่าง M2 Pro จะตอบโจทย์การใช้งานมากกว่า
เนื่องจากในชิป M2 จะมีซีพียูด้วยกัน 8 คอร์ แต่เป็นคอร์ประสิทธิภาพ 4 คอร์ และคอร์ประหยัดพลังงาน 4 คอร์ โดยมีจีพียู 16 คอร์มาช่วยประมวลผลด้านกราฟิก รวมถึงเอนจิ้นในการช่วยถอดรหัสวิดีโอ และภาพความละเอียดสูงต่างๆ
ในขณะที่ M2 Pro ที่มีซีพียู 10 คอร์ จะเป็นคอร์ประสิทธิภาพ 6 คอร์ และคอร์ประหยัดพลังงาน 4 คอร์ ทำให้ได้ประสิทธิภาพในการประมวลผลที่แรงขึ้น หรือถ้ายังไม่พอก็สามารถปรับเป็นตัวเลือก 12 คอร์ พร้อมจีพียู 19 คอร์ ที่แรงขึ้นไปอีกได้
ดังนั้น ถ้าใครที่เป็นสายตัดต่อวิดีโอความละเอียดสูง ตัวเลือกอย่าง M2 Pro น่าจะตอบโจทย์มากกว่า แต่ถ้าใช้ทำงานทั่วไป เป็นเครื่องคอมพ์ที่ใช้วางให้ทุกคนใช้งานในครอบครัวเชื่อว่า Mac mini M2 ก็เพียงพอกับการใช้งานแล้ว