การอัปเดตซีพียูจาก M1 Pro และ M1 Max มาเป็น M2 Pro และ M2 Max ในรอบนี้ของ Apple ถือว่าช่วยให้ผู้ที่ใช้งาน MacBook Pro รุ่นเก่าที่ยังใช้รุ่นเก่าอยู่ 3-4 ปีที่แล้ว ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ถ้าต้องการเปลี่ยนเครื่องใหม่ที่แรงขึ้น และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้
แม้ว่าในแง่ของภาพรวมตัวเครื่องจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงจาก MacBook Pro 14” และ 16” ที่เปิดตัวในช่วยปลายปี 2021 แต่ด้วยการที่มีการปรับใหญ่มาแล้วจากรุ่นก่อนหน้า ทำให้ MacBook Pro ในปี 2023 นี้ ยังตอบโจทย์การใช้งานได้แบบครบถ้วน
แน่นอนว่า ในการเลือกใช้ M2 Pro และ M2 Max รวมถึงขนาดหน้าจอ 14” และ 16” นั้น ขึ้นอยู่กับลักษณะงานที่นำไปใช้มากกว่า ดังนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดนอกจากเตรียมงบประมาณเกือบแสนบาทแล้ว ต้องทำความเข้าใจรูปแบบการใช้งานเพื่อให้การเลือกซื้อ MacBook Pro รุ่นใหม่ในปีนี้คุ้มค่ามากที่สุดด้วย
ข้อดี
ชิป Apple M2 Pro - M2 Max ที่ดึงประสิทธิภาพมาได้อย่างเยี่ยมยอด
แบตเตอรี่ใช้งานได้ต่อเนื่องสูงสุดที่ 22 ชั่วโมง ตัวเครื่องให้พอร์ตสำหรับการใช้งานมาครบ
ข้อสังเกต
ด้วยการที่ให้พอร์ตครบทำให้ตัวเครื่องหนาตามมาด้วยน้ำหนัก 14” อยู่ที่ 1.6 กิโลกรัม 16” 2.15 กิโลกรัม ราคาค่อนข้างสูง
เหมาะกับสายโปร ทำงานได้เร็วขึ้น
จากการที่กลุ่มเป้าหมายของ MacBook Pro นั้นค่อนข้างชัด เพราะจะเหมาะกับผู้ใช้งานในระดับมืออาชีพที่ต้องการโน้ตบุ๊กพกได้ประสิทธิภาพสูงไปใช้ในการทำงาน โดยเฉพาะสายที่ต้องใช้การประมวลผลของกราฟิกมาช่วยในการทำงาน รวมการการใช้งานที่ลื่นไหลมากที่สุด
โดยจุดขายหลักของ MacBook Pro ทั้งรุ่น 14 นิ้ว และ 16 นิ้ว อยู่ที่ชิปเซ็ตที่ใช้งาน Apple Silicon ที่ในรอบนี้อัปเกรดขึ้นมาเป็น M2 Pro และ M2 Max จากก่อนหน้าที่เป็น M1 Pro และ M1 Max ด้วยการเพิ่มจำนวนคอร์ซีพียู และจีพียูที่สูงขึ้น และเปิดให้สามารถอัด RAM เข้าไปได้สูงถึง 96 GB ในรุ่น M2 Max
ทำให้ในการใช้งานรองรับตั้งแต่การแต่งรูปภาพ ทำกราฟิก 2 มิติ 3 มิติ จนถึงงานตัดต่อวิดีโอ หรือการย้อมสีวิดีโอที่จะรีดความสามารถของ M2 Pro และ M2 Max ออกมาได้มากขึ้นจากการที่ชิปรองรับการถอดรหัสไฟล์วิดีโอระดับ ProRes ทำให้สามารถเรนเดอร์ไฟล์ความละเอียด 4K หรือ 8K ได้รวดเร็วขึ้น
หรือในอีกฝั่งของนักพัฒนาเขียนโปรแกรมทั้งหลาย จะช่วยให้การรันโค้ดต่างๆ ทำได้รวดเร็วมากขึ้น จากซีพียูที่มีจำนวนคอร์เพิ่มมากขึ้น รวมถึงแบนด์วิดท์ในการส่งข้อมูลระหว่างหน่วยความจำที่รวดเร็วขึ้น
แน่นอนว่าถ้าใครที่อยู่ในสายงานเหล่านี้ MacBook Pro จะเป็นอุปกรณ์ที่ไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน โดยเฉพาะเมื่อเทียบในแง่ของประสิทธิภาพในการประมวลผล กับปริมาณพลังงานที่ใช้ ซึ่ง Apple Silicon ทำได้ดีกว่าในฝั่งของคู่แข่งอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่ M2 Pro และ M2 Max นับเป็นชิปเซ็ตที่พัฒนาต่อเนื่องมาจาก M1 Pro และ M1 Max ดังนั้น ประสิทธิภาพที่ได้เพิ่มขึ้นมานั้นจะไม่ได้ก้าวกระโดดเหมือนในยุคข้ามจาก Intel มาเป็น Apple Silicon ที่เห็นถึงความเร็วที่เพิ่มขึ้นระดับเท่าตัว
โดยใน M2 Pro จะทำงานได้เร็วขึ้นกว่า M1 Pro ในแง่ของการประมวลผลด้วยซีพียูราว 20% ในขณะที่เมื่อประมวลผลด้วยกราฟิกคอร์จะเร็วขึ้นสูงสุดที่ราว 30% จากจำนวนของ Core ทั้ง CPU และ GPU ที่มากขึ้น ขณะที่ใน M2 Max จะทำงานได้เร็วกว่า M1 Max ราว 20% และ 30% ในการประมวลผล CPU และ GPU เช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอย่าง Unified Memory หรือ RAM ที่ใช้งานในตัวเครื่องที่เพิ่มปริมาณแบนด์วิดท์ในรุ่น M2 Pro ขึ้นมาเท่าตัวจาก M2 ปกติ อยู่ที่ 200 GB/s และอีกเท่าตัวใน M2 Max เป็น 400 GB/s ซึ่งสามารถอัดหน่วยความจำได้สูงถึง 96 GB
ทีนี้ ถ้ามาเทียบดูประสิทธิภาพจะเห็นได้ว่าทั้ง M2 M2 Pro และ M2 Max ผ่าน Geekbench และ Cinebench R23 จะเห็นว่าในการประมวลผล Single-Core จะได้คะแนนใกล้เคียงกัน จะต่างกันในส่วนของ Multi-Core ที่กระโดดเพิ่มขึ้นมตามจำนวนคอร์ CPU ที่เพิ่มขึ้น
ในขณะที่เมื่อลองทดสอบการใช้งานกราฟิกด้วย Metal จะเห็นคะแนนที่เพิ่มขึ้นกว่า 40% เมื่อในแต่ละระดับ ทั้งจาก M2 เป็น M2 Pro และจาก M2 Pro เป็น M2 Max ทำให้เห็นได้ชัดเจนว่า ความแรงในการประมวลผลด้วย GPU นั้นเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และส่งผลต่อปัจจัยในการเลือกใช้งานด้วย
ความเร็วที่เพิ่มมานอกจากเรื่องของ CPU และ GPU แล้ว อีกส่วนที่เห็นได้ชัดเจนคือ การทำงานของ NPU หรือการนำ AI มาช่วยประมวลผล อย่างการเปิดใช้งานคู่กับ Photoshop ที่ก่อนหน้านี้เวลาเลือกวัตถุในภาพความละเอียดสูงจะต้องใช้ระยะเวลาในการประมวลผลค่อนข้างนาน พอมาเป็น M2 Pro และ M2 Max ถือว่าทำได้ตามเมาส์ที่เลื่อนไปให้เห็นกันเลย
ตัวเครื่องตอบโจทย์การใช้งาน
กลับมาที่ตัวเครื่องของ MacBook Pro ทั้งในรุ่น 14 นิ้ว และ 16 นิ้ว จะมีลักษณะที่ใกล้เคียงกัน ยกเว้นในแง่ของขนาด และน้ำหนัก โดยในรุ่น 14 นิ้ว จะมีขนาด 1.55 x 31.26 x 22.12 ซ.ม. น้ำหนัก 1.6 กิโลกรัม ในขณะที่รุ่น 16 นิ้ว จะอยู่ที่ 1.68 x 35.57 x 24.81 ซ.ม. น้ำหนัก 2.16 กิโลกรัม
หน้าจอทั้ง 2 รุ่นใช้เทคโนโลยี Liquid Retina XDR ความละเอียด 3024 x 1964 พิกเซล ในรุ่น 14 นิ้ว และ 3456 x 2234 พิกเซล ในรุ่น 16 นิ้ว สามารถเร่งความสว่างหน้าจอได้สูงสุดที่ 1,600 nits รองรับ ProMotion 120Hz หรือถ้าต้องการตั้งค่าอัตราการรีเฟรชหน้าจอให้เหมาะกับงานอย่าง 47.95 Hz 48 Hz 50 Hz 59.94 Hz และ 60 Hz ก็สามารถทำได้
ในแง่ของการเชื่อมต่อพอร์ตต่างๆ ถือว่าปรับปรุงออกมาได้ดีตั้งแต่รุ่นปี 2021 แล้ว จากการที่เปลี่ยนมาใช้พอร์ตชาร์จแบบ MagSafe 3 เข้ามาแทนการใช้พอร์ต USB-C เดิม ทำให้มีพอร์ต Thunderbolt 4 เหลือไว้ใช้งานเพิ่มเติม ไม่ต้องเสียพอร์ตไปใช้กับการชาร์จ
ทางฝั่งซ้ายจะมีพอร์ต Thunderbolt 4 ให้ 2 พอร์ต กับช่องเสียบหูฟัง ส่วนทางขวาจะมีทั้งช่อง HDMI ที่รองรับสูงสุด 8K เรียบร้อยแล้ว กับพอร์ต Thunderbolt 4 อีก 1 พอร์ต และช่องอ่าน SD Card ที่ช่วยอำนวยความสะดวกสายโปรดักชันมากขึ้นด้วย
กลับมาที่ตัวแบตเตอรี่ MacBook Pro 14” มากับแบตขนาด 70Whr ที่ทางแอปเปิลเคลมว่าสามารถเล่นวิดีโอได้ต่อเนื่อง 18 ชั่วโมง และใช้งานท่องเว็บไซต์ได้ราว 12 ชั่วโมง ในขณะที่ MacBook Pro 16” ให้แบตขนาด 100 Whr เล่นวิดีโอได้ 22 ชั่วโมง และท่องเว็บได้ 15 ชั่วโมง
ส่วนของการชาร์จสามารถทำได้ทั้งผ่าน MagSafe 3 หรือจะใช้ USB-C เช่นเดิมก็ได้ ในรุ่น 14” รองรับชาร์จเร็วสุดที่ 96W (ถ้าซื้อรุ่นเริ่มต้นจะให้อะแดปเตอร์ 67W) ส่วนรุ่น 16” จะสามารถชาร์จเร็วได้สูงสุด 140W ซึ่งต้องใช้สาย MagSafe 3 เท่านั้น โดยความเร็วในการชาร์จจะอยู่ที่ 50% ใน 30 นาที
สำหรับการเชื่อมต่อ MacBook Pro รองรับ WiFi 6E และบลูทูธ 5.3 นับว่าเป็นการอัปเดตขึ้นมาตามยุคสมัย แม้ว่าในปัจจุบัน WiFi 6E จะยังไม่ผ่านการรับรองมาตรฐานใช้งานในประเทศไทยก็ตาม
เลือกรุ่นไหน คุ้มค่าที่สุด
พื้นฐานในการเลือกใช้งาน MacBook Pro 14 นิ้ว หรือ 16 นิ้ว ในปีนี้ ต้องเริ่มจากว่าต้องการอุปกรณ์ที่ใช้งานที่มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน โดยเฉพาะการตัดต่อวิดีโอ ทำกราฟิกต่างๆ ที่ MacBook Air M2 ในปัจจุบันไม่ตอบโจทย์ จึงขยับขึ้นมาเป็น MacBook Pro
เพราะในปัจจุบันการใช้งานคอมพิวเตอร์สำหรับงานทั่วไป อย่างการทำไฟล์เอกสาร แต่งรูปเล็กน้อย หรือแม้แต่การตัดต่อคลิปสั้น MacBook Air M2 ตอบโจทย์การใช้งานอยู่แล้ว แต่ถ้าต้องการประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น MacBook Pro จะกลายเป็นคำตอบได้
หลังจากนั้น จึงเริ่มตอบไปทีละคำถามว่าต้องการโน้ตบุ๊กขนาดหน้าจอที่เหมาะกับการพกพา (14”) หรือเน้นใช้งานเฉพาะที่ และมีการนำออกไปใช้นอกสถานที่บ้าง (16”) ก่อน ซึ่งข้อดีของ Apple Silicon ก็คือทั้งรุ่น 14” และ 16” ให้ประสิทธิภาพสูงสุดได้เท่ากัน
ในปีนี้ MacBook Pro 14” รุ่นเริ่มต้นในราคา 73,900 บาทนั้นจะมากับ CPU 10 Core และ GPU 16 Core RAM 16 GB และ SSD 512 GB ซึ่งกลายเป็นรุ่นที่ไม่สุดเท่าไหร่สำหรับการใช้งาน เพราะ CPU 10 Core ที่ให้มาจะเป็นแกนประสิทธิภาพสูง 6 คอร์ และแกนประหยัดพลังงาน 4 คอร์ ถ้าขยับเพิ่มเป็นรุ่น CPU 12 Core จะได้แกนประสิทธิภาพสูงเพิ่มขึ้นเป็น 8 แกน และส่งผลให้การใช้งานลื่นไหลมากขึ้นด้วย
เช่นเดียวกับในส่วนของ SSD ในรุ่น 512 GB จะใช้ที่เก็บข้อมูลเดี่ยว ทำให้เมื่อเทียบกับรุ่น 1 TB ขึ้นไป จะใช้แบบคู่ซึ่งรับส่งข้อมูลได้รวดเร็วกว่า ดังนั้น ถ้างบประมาณถึงแนะนำให้ขยับขึ้นมาใช้รุ่น 89,900 บาท จะได้ความคุ้มค่ามากที่สุด สำหรับผู้ที่ต้องการเครื่องระดับโปรไปใช้งาน
ในขณะที่ M2 Max นั้นจะมีความแตกต่างเพิ่มเติมในแง่ของ GPU Core ที่สามารถเพิ่มได้สูงสุดเป็น 38 Core และเพิ่มหน่วยความจำได้สูงสุด 96 GB ซึ่งเมื่อปรับแต่งแล้วในรุ่นจอ 14” จะขึ้นไปอยู่ที่ 145,900 บาท สำหรับพื้นที่ 1 TB
แน่นอนว่าถ้าเป็นสายที่ใช้สำหรับทำงานตัดต่อวิดีโอ การลดระยะเวลาเรนเดอร์ลงมาเร็วเท่าไหร่ ยิ่งสร้างโปรดักทิวิตี้เพิ่มได้มากเท่านั้น ดังนั้น ถ้าเป็นเครื่องที่ซื้อมาใช้ทำงาน และสามารถสร้างรายได้คืนกลับมาได้ การลงทุนสำหรับอุปกรณ์ดีๆ นับว่าคุ้มค่าแล้ว