xs
xsm
sm
md
lg

Review : Apple Watch Ultra จอใหญ่ขึ้น เหมาะกับสายผจญภัย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ถ้ามองไปในฐานกลุ่มผู้ใช้งาน iPhone ที่เลือกใช้งานสมาร์ทวอทช์อยู่ในปัจจุบัน ตัวเลือกแรกในตลาดคงหนีไม่พ้น Apple Watch แต่สิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับกลุ่มผู้ใช้งานที่เป็นนักกีฬา หรือกลุ่มผู้ใช้งานที่ชื่นชอบการออกกำลังกาย พร้อมไปกับการผจญภัยเป็นหลัก เพราะยังมีเจ้าตลาดอย่างการ์มิน (Garmin) ที่จับตลาดนี้อย่างจริงจัง และทำได้ดีเสียด้วย

การออก Apple Watch Ultra มาในครั้งนี้ นับเป็นก้าวที่น่าสนใจของ Apple ในการขยายฐานผู้ใช้งานให้กว้างขึ้น มากกว่ากลุ่มผู้ใช้งานทั่วไป แต่เป็นการเจาะลงไปในกลุ่มนักสำรวจ นักกีฬา และผู้ที่ชื่นชอบการผจญภัย ที่สำคัญคือเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อ และพร้อมที่จะจ่ายเพื่อให้ได้อุปกรณ์ที่เหมาะสมมาใช้งาน

จุดเด่นหลักของ Apple Watch Ultra ที่เพิ่มขึ้นมาคือเรื่องของความทนทานในการใช้งานแบบสมบุกสมบัน และในขณะเดียวกันก็เหมาะกับกีฬาทางน้ำมากขึ้น จึงนับว่าครอบคลุมหลากหลายประเภทในการออกกำลังกาย บนพื้นฐานของการเป็นสมาร์ทวอทช์ที่มีฟีเจอร์สุขภาพครบถ้วน

Apple Watch Ultra วางจำหน่ายในราคา 31,900 บาท กับหน้าปัดขนาด 49 มม. โดยจะมีสายให้เลือก 3 แบบตามรูปแบบการใช้งาน ทั้งเอาต์ดอร์ เทรล และกีฬาทางน้ำ อย่างละ 3 สี รวมเป็นทั้งหมด 9 แบบด้วยกัน

ข้อดี
สมาร์ทวอทช์หน้าปัดขนาดใหญ่ 49 มม.
ความสว่างหน้าจอ 2,000 nits สู้แสงกลางแจ้งได้สบาย
ฟีเจอร์ตรวจจับสุขภาพครบ ทั้งอัตราการเต้นหัวใจ ออกซิเจนในเลือด ECG และอุณหภูมิ
แบตเตอรี่อึดขึ้นกว่าทุกรุ่นที่ผ่านมา

ข้อสังเกต
ตัวเรือนมีขนาดใหญ่ และหนักขึ้น
แม้แบตจะอึดขึ้น แต่การใช้งานยังต้องชาร์จทุก 2-3 วัน
แอป Health ยังไม่มีข้อมูลการพักร่างกายหลังออกกำลัง

ตัวเรือนใหญ่ แสดงผลเต็มตา


ในแง่ของการออกแบบต้องยอมรับว่า Apple Watch Ultra มีความบึกบึนแข็งแรงขึ้นอย่างชัดเจน ด้วยการใส่รายละเอียดเข้าไปในดีไซน์หลายๆ ส่วนเริ่มตั้งแต่ตัวเรือนที่ทำจากไทเทเนียมให้ความแข็งแรง มีการยกขอบขึ้นมาเพื่อปกป้องกระจกหน้าจอแบบแซฟไฟร์ ให้รองรับการใช้งานแบบเอ็กซ์ตรีมได้มากขึ้น

ตามด้วยในส่วนของข้างตัวเรือนจะมีขอบไทเทเนียมที่มาปกป้องเม็ดมะยม (Digital Crown) ป้องกันการหมุนโดยไม่ตั้งใจ เช่นเดียวกับการเพิ่มขนาดให้ใหญ่ขึ้น เพื่อให้สามารถหมุนใช้งานได้แม้สวมถุงมือ โดยมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าใน Watch 8 ถึง 30%


สำหรับจอแสดงผลที่ให้มาเป็นจอแบบ Retina ที่รองรับ Always-On อยู่แล้ว ปรับปรุงให้สว่างขึ้นที่สูงสุด 2000 nits เพื่อรองรับการใช้งานกลางแดดจ้า ให้ความละเอียดหน้าจอ 410 x 502 พิกเซล ตัวเรือนขนาด 49 มม. ทำให้สามารถแสดงรายละเอียดระหว่างออกกำลังได้ 6 บรรทัด เมื่อเทียบกับรุ่น 45 มม. จะอยู่ที่ 5 บรรทัด

เมื่อมีขนาดใหญ่ขึ้นสิ่งที่ตามมาคือน้ำหนักตัวเรือนที่หนักขึ้นด้วย โดย Apple Watch Ultra จะมีน้ำหนักอยู่ที่ 61.3 กรัม เมื่อเทียบกับ Apple Watch 8 45 มม. ตัวเรือนอะลูมิเนียมอยู่ที่ 38.8 กรัม และตัวเรือนสเตนเลสสตีลอยู่ที่ 51.5 กรัม ดังนั้น ถ้าเคยใช้งานตัวเรือนอะลูมิเนียมอยู่น้ำหนักที่เพิ่มมาเกือบเท่าตัว ถือว่าทำให้ข้อมือล้าได้เหมือนกัน


นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มปุ่มสั่งงานลัด (Action Button) ที่สามารถตั้งค่าให้เปิดใช้งานเข็มทิศ โหมดตรวจจับเส้นทางเดินย้อนกลับ เข้าโหมดออกกำลัง เปิดไฟฉาย นาฬิกาจับเวลา ได้ตามที่ต้องการในแอปการตั้งค่า

พร้อมกันนี้ ได้ปรับปรุงให้รองรับการใช้งานเพื่อสื่อสารด้วยการเพิ่มไมโครโฟนเป็น 3 จุด เพื่อให้สามารถจับเสียงพูดได้ชัดเจน โดยจะมีอัลกอรึธึมช่วยคำนวณทิศทาง และเสียงรบกวนเพื่อเลือกใช้ไมโครโฟนที่จับเสียงได้ดีที่สุดอยู่เสมอ


รวมถึงการออกแบบลำโพงคู่ เพื่อให้สามารถส่งเสียงแจ้งเตือนได้เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมต่างๆ เนื่องจากในรุ่นนี้จะมีโหมดฉุกเฉิน หรือเปิดไซเรนที่จะส่งเสียงเพื่อขอความช่วยเหลือขณะเกิดอุบัติเหตุระหว่างเดินป่า หรือเส้นทางเทรล


หลังตัวเรือนนาฬิกายังเป็นจุดที่รวมเซ็นเซอร์ตรวจวัดต่างๆ ทั้งอัตราการเต้นของหัวใจ ออกซิเจนในเลือด การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) โดยการแตะที่เม็ดมะยม และที่เพิ่มขึ้นมาคือเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิที่มาช่วยเก็บข้อมูลสุขภาพเพิ่มเติม

สำหรับการชาร์จยังใช้แท่นชาร์จเฉพาะ ที่สามารถชาร์จ 80% ได้ภายในเวลา 1 ชั่วโมง และชาร์จจนเต็มได้ใน 1 ชั่วโมงครึ่ง เพียงแต่ว่าด้วยการที่ตัวเรือนมีขนาดใหญ่ และแบตเตอรี่อึดมากขึ้น โดยแอปเปิลระบุว่าสามารถใช้งานได้ต่อเนื่อง 36 ชั่วโมง

ในส่วนของการทดสอบใช้งานจริง Apple Watch Ultra ใช้งานตลอดวันจะเหลืออยู่ราว 70-80% ทำให้ถ้าเป็นการใส่ใช้งานในชีวิตประจำวัน ไม่ได้มีการออกกำลังกายสามารถใช้งานได้ 2-3 วันสบายๆ หรือถ้าใช้ออกกำลังหนักๆ ก็แนะนำให้ชาร์จทุกวันเหมือนเดิม

ทั้งนี้ ในอนาคตแอปเปิลเตรียมที่จะอัปเดต watchOS 9.1 ที่จะเพิ่มโหมดประหยัดพลังงานขั้นสูง ซึ่งจะใช้วิธีตัดการทำงานบางอย่าง เช่น เว้นช่วงในการวัดอัตราการเต้นของหัวใจ หรือเว้นช่วงการระบุพิกัด GPS เพื่อให้ทำงานได้นานขึ้น


ภายในของ Apple Watch Ultra ทำงานบนชิป Apple S8 ที่ออกแบบมาสำหรับใช้งานกับสมาร์ทวอทช์โดยเฉพาะ มีพื้นที่เก็บข้อมูล 32 GB ภายในมี GPS แบบ 2 คลื่นความถี่ มีชิปไร้สาย W3 ทำให้รองรับการเชื่อมต่อ WiFi และบลูทูธ 5.3 รวมถึง 4G LTE ด้วย

ตัวเรือนกันน้ำที่ระดับ WR100 ทนฝุ่น IP6X ผ่านมาตรฐานสำหรับอุปกรณ์ดำน้ำ EN13319 ที่ความลึก 40 เมตร รวมถึงมาตรฐาน MIL-STD810H ในแง่ของระดับความสูง อุณหภูมิ และการสั่นสะเทือนต่างๆ ทำให้รองรับการใช้งานในทุกสถานการณ์

ส่วนของสายนาฬิกาที่ออกแบบมาสำหรับ Apple Watch Ultra โดยเฉพาะจะมีสายแบบ Trail Loop ที่เน้นน้ำหนักเบา สวมใส่สบาย ตามด้วย Alpine Loop ที่เป็นสายผ้า 2 ชั้น พร้อมตะขอเกี่ยวไทเทเนียมทำให้ยึดได้อย่างมั่นคง และสุดท้ายคือสาย Ocean Band จากยางอีลาสโตเมอร์เพื่อกิจกรรมทางน้ำ

อย่างไรก็ตาม Apple Watch Ultra ยังสามารถใส่ใช้งานร่วมกับสายของ Apple Watch 45 มม. ได้ด้วย ดังนั้นถ้าใครที่มีสายนาฬิกาเก่าอยู่ก็สามารถนำมาใส่ใช้งานได้ทันที

การใช้งานที่เน้นประโยชน์ใช้สอย


ด้วยการที่ Apple Watch Ultra ถูกออกแบบมาเฉพาะสำหรับการใช้งานในลักษณะของผจญภัย กีฬาทางน้ำ จนถึงผู้ที่ชื่นชอบการออกกำลังกายอย่างหนัก ดังนั้น ฟีเจอร์ที่เพิ่มขึ้นมาจาก Apple Watch 8 จะอยู่กับบางฟีเจอร์ที่เพิ่มขึ้นมา


อย่างเข็มทิศ ที่มีการออกแบบใหม่มาให้สามารถใช้ปักหมุดสถานที่สำคัญต่างๆ รวมถึงจดจำเส้นทางการเดิน เพื่อให้สามารถเดินย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นได้ ซึ่งฟีเจอร์นี้จะเหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบการเดินป่า เดินเขา ผจญภัยไปในสถานที่ต่างๆ


ถัดมาคือแอปวัดระดับความลึก ที่เหมาะกับนักกีฬาทางน้ำ โดยปกติแอปจะเปิดทำงานอัตโนมัติเมื่ออยู่ใต้ผิวน้ำลึกเกิน 1 เมตร โดยจะแสดงเวลา ระดับความลึกปัจจุบัน อุณหภูมิน้ำ ระยะเวลาใต้น้ำ และความลึกสูงสุดที่ดำลงไป


จะเห็นได้ว่าถ้าไม่ได้เป็นผู้ที่ชื่นชอบการผจญภัย หรือดำน้ำ ความสามารถใหม่ที่มีมาใน Apple Watch Ultra นั้นอาจจะไม่ได้ตอบโจทย์อย่างที่คาดหวังไว้ ยกเว้นแต่อยากได้สมาร์ทวอทช์ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ไม่เช่นนั้น Apple Watch 8 ที่ราคาต่ำกว่าก็ตอบโจทย์การใช้งานอยู่แล้ว

เซ็นเซอร์ติดตามอุณหภูมิ ช่วยเก็บข้อมูลสุขภาพ

Apple Watch Ultra มากับสายชาร์จแบบถักแล้ว
สำหรับสิ่งใหม่ที่เพิ่มเข้ามาทั้งบน Apple Watch Ultra และ Apple Watch 8 คือการใส่เซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิมาด้วย 2 ตำแหน่ง จุดแรกคือบริเวณที่สัมผัสกับข้อมือตรงฝาหลังคริสตัล และอีกตัวจะอยู่ใต้จอแสดงผล เพื่อให้สามารถนำข้อมูลจากทั้ง 2 จุดมาคำนวณเพิ่มความแม่นยำ

เหตุผลที่ต้องมีเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิ 2 ตำแหน่งมาช่วยเก็บข้อมูล เนื่องจากเวลาใส่ใช้งานตอนนอนเมื่อห่มผ้าห่มอยู่อุณหภูมิร่างกายอาจจะสูงขึ้นกว่าปกติ ในจุดนี้ Apple Watch จะทำการคำนวณอุณหภูมิแวดล้อม กับอุณหภูมิร่างกายเพื่อเก็บข้อมูลให้ตรงที่สุด


เบื้องต้น การวัดอุณหภูมิของ Apple Watch จะนำไปใช้เพื่อเก็บข้อมูลการนอนหลับเป็นหลัก เนื่องจากเป็นเวลาที่สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายได้ดีที่สุด โดยจะเริ่มแสดงผลหลังจากที่ใส่นาฬิกาพร้อมเปิดโหมดโฟกัสการนอนหลับ และการติดตามการนอนหลับเป็นเวลา 5 คืน

ทั้งนี้ การแสดงผลอุณหภูมิของแอปเปิลจะใช้วิธีการคำนวณจากค่าเฉลี่ย และนำมาแสดงผลเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เพิ่มขึ้น หรือลดลงแทนการระบุอุณหภูมิแบบเป็นองศาฯ เนื่องจากค่าสุขภาพของแต่ละบุคคลจะแตกต่างกัน

ขณะเดียวกัน เซ็นเซอร์การวัดอุณหภูมินี้ยังมาช่วยในเรื่องสุขภาพของผู้หญิง อย่างการคำนวณรอบเดือน และคาดคะเนช่วงไขตก สำหรับครอบครัวที่วางแผนจะมีลูก โดยใช้ข้อมูลการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ กับข้อมูลประวัติรอบเดือนมาประกอบกัน

แน่นอนว่าข้อมูลที่มีความเซนซิทีฟแบบนี้ถูกเก็บแบบเข้ารหัสไว้เชื่อมโยงกับ Apple ID ของผู้ใช้งานเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลว่าข้อมูลสุขภาพเหล่านี้จะถูกเผยแพร่ออกไป เพราะทุกข้อมูลที่แชร์ออกไปผู้ใช้สามารถควบคุมได้

นอกจากนี้ Apple Watch Ultra ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ตรวจจับการชนกัน เช่นเดียวกับบน iPhone 14 ที่จะใช้การตรวจจับแรงกระแทก แรง g และเสียงที่เกิดขึ้น ซึ่งเมื่อเกิดอุบัติเหตุจะทำการโทรฉุกเฉินเพื่อแจ้งเหตุ และส่งข้อมูลที่อยู่ไปยังรายชื่อฉุกเฉินที่ตั้งไว้ด้วย

สรุป

เทียบขนาด Apple Watch Ultra 49 มม. กับ Apple Watch 8 45 มม. และ Apple Watch SE2 40มม.
Apple Watch Ultra นับว่าเหมาะกับผู้ใช้งาน iPhone ที่ชื่นชอบการผจญภัย หรือนำไปใช้กับการติดตามการออกกำลังกายที่ยาวนานขึ้น รวมถึงผู้ที่อยากได้สมาร์ทวอทช์หน้าจอใหญ่ แสดงผลได้เต็มตา แต่ก็แลกกับน้ำหนักตัวเรือน และราคาที่เพิ่มขึ้นด้วย

กลับกันถ้ามองหาสมาร์ทวอทช์ที่ใช้งานทั่วไป Apple Watch 8 นั้นถือว่าเป็นรุ่นที่สมบูรณ์แบบอยู่แล้ว และยังมีระดับราคาย่อมเยากว่า ดังนั้นอยากให้มองเรื่องของรูปแบบการใช้งานมากกว่า

ส่วนถ้าถามว่า Apple Watch Ultra จะมาเทียบกับสมาร์ทวอทช์ที่ออกแบบมาสำหรับกีฬาโดยเฉพาะได้หรือไม่ ต้องยอมรับว่าจุดแข็งของ Apple Watch Ultra อยู่ที่อีโคซิสเต็มที่เชื่อมต่อกับ iPhone ได้อย่างสมบูรณ์แบบมากกว่า ดังนั้นถ้าใครที่ใช้ iPhone จะเปลี่ยนมาใช้งานรุ่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก และสะดวกกว่าด้วย

ในขณะเดียวกัน แบรนด์อย่าง Garmin หรือ Polar ก็จะมีจุดเด่นที่ชัดเจนในแง่ของแบตเตอรี่ที่เพียงพอต่อการใช้งานในระยะยาว รวมถึงการที่มีข้อมูลระยะพักฟื้นร่างกายหลังออกกำลัง (Recovery Time) ที่นับว่าเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับผู้ออกกำลังกายด้วย


กำลังโหลดความคิดเห็น