xs
xsm
sm
md
lg

Review : Dyson V12 Detect Slim รุ่นนี้เหมาะกับทุกบ้าน เครื่องเบา ใช้งานง่าย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ด้วยการพัฒนาเครื่องดูดฝุ่นไร้สายอย่างต่อเนื่องของ Dyson ที่เน้นตอบโจทย์รูปแบบการใช้งานของไลฟ์สไตล์ในปัจจุบันที่มีความหลากหลายขึ้น ทำให้ในไลน์สินค้าของ Dyson V ซีรีส์ในปัจจุบัน จะมีรุ่นท็อปที่ทำตลาดด้วยกัน 2 รุ่นคือ V12 detect slim และ V15 detect absolute มาเป็นทางเลือก

โดยความแตกต่างของทั้ง 2 รุ่น หลักๆ จะอยู่ที่พลังในการดูด ขนาดถังเก็บฝุ่น และน้ำหนักของตัวเครื่อง ซึ่งในรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง V15 detect absolute จะให้พลังดูดที่แรงขึ้น และแบตเตอรี่ใช้งานได้ต่อเนื่องมากขึ้น แต่ก็แลกมากับน้ำหนักที่มากขึ้นเป็น 2.61 กิโลกรัม ต่อ 2.2 กิโลกรัม

ดังนั้น ถ้ามองในแง่ของการใช้งานในชีวิตประจำวันความเบาของ V12 Detect Slim ที่แม้จะวางจำหน่ายมาเกือบปีแล้ว แต่ถือว่ายังคงเป็นรุ่นที่น่าสนใจ และเป็นตัวเลือกที่ช่วยประหยัดลงไป ในราคาปัจจุบันที่ 28,500 บาท

ข้อดี
เครื่องดูดฝุ่นไร้สายประสิทธิภาพสูง
ปุ่มควบคุมการทำงาน เปิด/ปิด ไม่ต้องเหนี่ยวไกค้างไว้
ปรับโหมดดูดอัตโนมัติ
มีหัวดูดให้เลือกหลากหลาย


ข้อสังเกต
ราคาค่อนข้างสูง
ถังเก็บฝุ่นค่อนข้างเล็กทำให้ต้องทิ้งบ่อยขึ้น


ปรับปรุงดีไซน์ให้ใช้สะดวกขึ้น


ความโดดเด่นของ Dyson V12 detect slim ที่พัฒนาขึ้นมาให้น่าสนใจ และกลายเป็นตัวเลือกสำหรับผู้ที่มีงบประมาณคือการที่ตัวเครื่องถูกทำให้ใช้งานง่ายขึ้น อย่างการปรับเปลี่ยนมาใช้ปุ่มเปิด-ปิดเครื่องแทนการเหนียวไกค้างไว้จากรุ่นก่อนๆ (เริ่มใช้ครั้งแรกในรุ่น omni-glide) ทำให้เวลาดูดฝุ่นไม่ต้องแตะนิ้วชี้ค้างไว้อีกต่อไป


การปรับมาใช้ปุ่มเปิด-ปิด ยังช่วยให้การจับถือเครื่องทำความสะอาดได้สะดวกขึ้นด้วย เพราะสามารถสลับใช้มือข้างใดข้างหนึ่งถือดูดได้ต่อเนื่อง ประกอบกับน้ำหนักตัวเครื่องที่เบาลงเหลือ 2.2 กิโลกรัม ทำให้การถือดูดฝุ่นทำได้นานขึ้น


ถัดมาคือเรื่องของโหมดในการดูดฝุ่นที่จะมีให้เลือกทั้ง Auto ซึ่งจะคอยปรับความแรงในการดูดอัตโนมัติตามปริมาณฝุ่นที่เซ็นเซอร์ Piezo ตรวจพบ ซึ่งช่วยให้สะดวกเวลาใช้งานมากขึ้น ผ่านการแสดงผลบนจอ LCD หลังเครื่อง ที่จะบอกระยะเวลาในการใช้งาน และปริมาณฝุ่นที่ดูดเข้าไปด้วย


ในกรณีต้องการปรับโหมดดูดด้วยตัวเองก็สามารถทำได้จากการกดปุ่มล่างหน้าจอที่จะสลับโหมด Eco ใช้งานได้ต่อเนื่องประมาณ 60 นาที Medium ใช้งานได้ราว 36 นาที และโหมด Boost ที่จะดูดฝุ่นแรงสูงใช้งานได้ราว 8 นาที โดยใช้ระยะเวลาชาร์จประมาณ 4 ชั่วโมง


ในจุดนี้เพื่อให้ตัวเครื่องรองรับการใช้งานต่อเนื่องได้นานขึ้น ในส่วนของแบตเตอรี่นั้นสามารถถอดเปลี่ยนเพื่อนำออกไปชาร์จ และสลับก้อนใหม่มาใช้งานได้ด้วย ทำให้รองรับการใช้งานในบ้านที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งใช้ระยะเวลาในการทำความสะอาดนานขึ้น


สำหรับถังเก็บฝุ่นของ V12 detect slim จะมีขนาดอยู่ที่ 0.35 ลิตร เมื่อเทียบกับ V15 ที่ 0.54 ลิตร นับว่าค่อนข้างเล็ก ดังนั้นอาจจะเหมาะกับการใช้งานในบ้านขนาดไม่ใหญ่มาก หรือใช้ภายในคอนโดฯ ที่ต้องการความสะดวกในการใช้งานมากกว่า

จุดเด่นในเรื่องการทิ้งฝุ่งโดยที่มือไม่ต้องสัมผัส ยังคงมีมาให้ต่อเนื่องในรุ่นนี้ โดยสามารถถอดหัวดูดออก แล้วคว่ำเครื่องลงในถังขยะเพื่อปลดล็อกฝาเก็บฝุ่นทิ้งได้ทันที ที่ช่วยให้สะดวก และฝุ่นไม่ฟุ้งขึ้นมาเวลาทำความสะอาดด้วย


เบื้องหลังเทคโนโลยีคือมอเตอร์ภายใน


ที่ผ่านมาจุดเด่นของเครื่องดูดฝุ่นไร้สาย Dyson จะอยู่ที่ความแรงในการดูดที่เหนือกว่าแบรนด์อื่นๆ ในท้องตลาด แต่ก็แลกมากับราคาที่สูงกว่าด้วย โดยในรุ่น V12 detect slim จะมากับมอเตอร์แบบ Hyperdymium ที่มีน้ำหนักเบา และหมุนได้ถึง 125,000 รอบต่อนาที ทำให้สามารถดักจับฝุ่นละอองที่เล็กจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นได้

ขณะเดียวกัน มีการนำเทคโนโลยี Root Cyclone 11 ตัวมาช่วยสร้างแรงหนีศูนย์กลางถึง 100,000g ดักจับฝุ่นจากกระแสลมที่ดูดเข้ามา ทำให้มีความแรงในการดูดที่ต่อเนื่อง และภายในยังมีการกรองฝุ่งที่เล็กถึง 0.3 ไมครอนได้ 99.99% ทำให้เก็บฝุ่นได้โดยไม่ฟุ้งกระจายออกมา


แม้ว่าความแรงของมอเตอร์ใน V12 detect slim จะไม่นับว่าเป็นรุ่นที่แรงที่สุด เพราะให้แรงดูดที่ 150AW (Airwatt) เท่ากับรุ่น V10 ทำให้เมื่อเทียบกับรุ่นท็อปอย่าง V12 absolute clean จะให้แรงดูดที่ 240AW ซึ่งนับเป็นข้อแตกต่างหลักของเครื่องก็ว่าได้

อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่นำไปใช้งานภายในบ้านทั่วไป ไม่ได้มีการนำไปดูดในบริเวณที่มีฝุ่นหนาแน่น อย่างบนพรม หรือพื้นที่ที่มีความซับซ้อน แรงดูด 150AW ที่ให้มานับว่าเพียงพอต่อการใช้งานอยู่แล้ว แต่ถ้าอยากได้แรงดูดที่สะอาดขึ้นก็แนะนำให้ขยับไปรุ่นท็อปอย่าง V15 แทนได้


หัวดูดใหม่ ช่วยให้เห็นฝุ่นขนาดเล็ก


นอกจากตัวเครื่องแล้ว หัวดูดฝุ่นของ Dyson ถือเป็นสิ่งที่มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง โดยในรุ่นนี้จะมากับหัวดูดใหม่อย่าง Laser Slim Fluffy ที่ออกแบบมาเป็นไนลอนขนนุ่ม และเส้นใยคาร์บอน เน้นดูดฝุ่นจากพื้นแข็ง และซอกมุมแคบๆ จากข้อต่อที่สามารถหมุนได้


หัวดูดรุ่นนี้ยังมากับเลเซอร์ที่ช่วยตรวจจับอนุภาคฝุ่นต่างๆ ทำให้สามารถมองเห็นฝุ่นบนพื้นแข็ง และทำความสะอาดได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในจุดที่แคบ และแสงส่องไม่ถึงก็จะช่วยแสดงให้เห็นถึงความสกปรกที่อยู่บนพื้น


อีกหัวดูดใหม่ที่เพิ่มมาคือ หัวดูดเก็บเส้นผม ที่ออกแบบให้เป็นทรงกรวยป้องกันการม้วนพันของเส้นผมไปที่มอเตอร์ทำความสะอาด ด้วยการเก็บเส้นผมไว้ที่แกนให้ถอดออกมาทำความสะอาดได้ทันที


นอกจากนี้ ยังมีหัวดูดมาตรฐานแบบเดิมทั้ง Direct Drive สำหรับทำความบนพื้นพรม หรือตามพื้นผิวที่มีฝุ่นฝังลึก รวมถึงแปรงดูดฝุ่นฝังแน่น แปรงปัดฝุ่นขนนุ่ม หัวดูดปากแคบพร้อมไฟส่อง หัวดูด 2 in 1 และข้อต่อสำหรับดูดใต้เตียง ใต้โซฟา มาให้ในกล่อง


พร้อมกันนี้ Dyson ยังได้ออกหัวดูดใหม่อย่าง ชุดแปรงขนสัตว์เลี้ยง มาให้ใช้แปรงทำความสะอาดสิ่งสกปรก ที่มาพร้อมกับขนแปรงหวี ทำให้สามารถดูดพร้อมหวีขนสัตว์เลี้ยงไปพร้อมกันได้ โดยมากับท่อดูดเพิ่มความยาวให้ใช้งานได้สะดวกขึ้นด้วย


ยังมีชุดทำความสะอาดแบบละเอียด ที่เพิ่มหัวดูดแบบแปรงปัดฝุ่นขนนุ่ม ที่ไว้ทำความสะอาดจอทีวี คีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ ของตกแต่งต่างๆ และหัวดูดสำหรับซอกที่เข้าถึงยาก จากหัวดูแบบแคบที่หมุนได้ 22 องศา และสายดูดเพิ่มความยาว ในกรณีที่ต้องการยืดระยะดูดไปในบริเวณต่างๆ


สรุป


เครื่องดูดฝุ่นไร้สาย Dyson V12 detect slim ยังนับเป็นรุ่นที่น่าสนใจอยู่สำหรับผู้ที่ต้องการเครื่องดูดฝุ่นน้ำหนักเบา ใช้งานได้หลากหลาย จากทั้งหัวดูดที่ให้มา และหัวดูดรุ่นใหม่ที่รองรับ แต่แน่นอนว่าด้วยระดับราคา 28,500 บาท อาจจะสูงไปสักหน่อยสำหรับเครื่องดูดฝุ่น 1 เครื่อง

แต่สิ่งที่ค่อนข้างประทับใจ Dyson คือเรื่องของประกันที่ให้ปกติ 24 เดือน และช่วงนี้มีโปรโมชันเพิ่มเป็น 30 เดือน หรือ 2 ปีครึ่ง รวมถึงในแง่ของคุณภาพ ความทนทาน อุปกรณ์ต่างๆ สามารถถอดออกมาล้างทำความสะอาดได้ง่าย จากการที่ใส่ใจในรายละเอียดของการออกแบบ

ดังนั้น ถ้าใครที่กำลังมองหาเครื่องดูดฝุ่นไร้สายตัวจบที่ใช้งานได้ยาวนาน Dyson ทั้ง V12 detect slim และ V15 absolute clean น่าจะเป็นคำตอบอยู่แล้ว แต่ก็ต้องเลือกให้เหมาะสมกับการใช้งานด้วย


กำลังโหลดความคิดเห็น