xs
xsm
sm
md
lg

รีวิว Apple iPhone SE 3 (2022) แรงระดับแฟลกชิป แต่ดีไซน์ควรเปลี่ยนได้แล้ว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



การอัปเดตไลน์ iPhone SE ของแอปเปิลในรอบนี้ถือว่าน่าจะเป็นรอบสุดท้ายของการนำดีไซน์ตัวเครื่อง iPhone 8 ที่ออกมาตั้งแต่ปี 2017 มาใช้งานแล้ว เพราะปัจจุบันขนาดหน้าจอ 4.7 นิ้ว เรียกได้ว่าค่อนข้างเล็กเกินไปสำหรับการใช้งานแล้ว

แต่ไม่ใช่ว่า iPhone SE รุ่นที่ 3 หรือรุ่นปี 2022 จะไม่น่าใช้งาน เพราะที่ผ่านมายังมีกลุ่มผู้ใช้งานที่ต้องการเครื่องขนาดเล็กไว้ใช้งาน เน้นในแง่ของราคา และประสิทธิภาพที่ได้ ซึ่งแน่นอนว่า iPhone SE 3 ตอบโจทย์ตรงนี้แน่ๆ

จุดเด่นของ iPhone SE 3 คือ การนำชิป Apple A15 Bionic มาใช้งาน ทำให้ได้ประสิทธิภาพเครื่องเทียบเท่า iPhone 13 ที่ทำตลาดอยู่ในเวลานี้ และยังมาช่วยในแง่ของการประมวลผลภาพ การประหยัดพลังงานที่ทำให้ดีขึ้น ที่น่าสนใจที่สุดคือทำให้รุ่นนี้รองรับ 5G ด้วย

ข้อดี
สมาร์ทโฟนประสิทธิภาพสูง ในราคาเริ่มต้นหมื่นกลาง
รองรับ 5G
กันน้ำ กันฝุ่น IP67 (1 เมตร 30 นาที)

ข้อสังเกต
ดีไซน์เดิม หน้าจอเล็ก 4.7 นิ้ว
พอตัวเครื่องเล็ก รองรับ 5G แบตเตอรี่ไม่พอกับการใช้งานทั้งวัน
กล้องหลักเลนส์เดียว





iPhone SE 3 เหมาะกับใคร


กลุ่มเป้าหมายของ iPhone SE 3 นั้นไม่ใช่ลูกค้าที่ปัจจุบันใช้งาน iPhone X ขึ้นไป หรือรุ่นที่ใช้งาน FaceID แต่เน้นจับกลุ่มผู้ที่มีงบประมาณจำกัด แล้วใช้งาน iPhone 8 หรือเก่ากว่านั้นให้เปลี่ยนเครื่องใหม่ ซึ่งจะได้ประสิทธิภาพที่ดีขึ้น และใช้งานได้ต่อเนื่องยาวๆ

อีกกลุ่มคือผู้ใช้งานแอนดรอยด์โฟนในระดับเริ่มต้น ถึงระดับกลาง ที่อยากเปลี่ยนมาใช้งาน iOS ในรุ่นเริ่มต้น เพราะด้วยราคาเปิดตัวที่ 15,900 บาท ได้เครื่องที่ใช้ชิปที่แรงสุดในปัจจุบัน และรองรับ 5G ถือว่าน่าสนใจไม่น้อย

โดยเฉพาะการทำโปรโมชันร่วมกับโอเปอเรเตอร์ที่ต้องการเพิ่มจำนวนฐานลูกค้าที่ใช้งาน 5G ทำให้ระดับราคาเครื่องเมื่อสมัครร่วมกับแพกเกจ 5G นั้นเข้าถึงได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม หรือในระดับไม่ถึงหมื่นบาท

ดังนั้น iPhone SE 3 จะกลายเป็นสมาร์ทโฟนที่ช่วยเปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานเข้าถึง 5G ได้แบบมีนัยสำคัญ และที่สำคัญคือในการใช้งานด้านอื่นๆ ยังลื่นไหลจากชิปเซ็ตตัวเก่งอย่าง A15 Bionic ด้วย

ใช้งานสบาย เล่นเกมลื่น


ด้วยการที่ iPhone SE 3 มาพร้อมกับ iOS 15.4 ตั้งแต่แกะกล่อง ทำให้ตัวเครื่องถูกปรับแต่งให้สามารถใช้งานประสิทธิภาพของ iOS ได้สูงสุด และด้วยความที่เป็นระบบปฏิบัติการที่ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะ จึงทำให้การใช้งานของ iPhone SE 3 ให้ประสบการณ์ใช้งานที่ลื่นไหล เข้ากับอีโคซิสเต็มของแอปเปิลได้เป็นอย่างดี


ความสะดวกอย่างแรกเลยคือตัวเครื่องยังมากับเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (TouchID) ให้ใช้งาน จึงสามารถปลดล็อกตัวเครื่องจากลายนิ้วมือได้ทันที ในยุคที่ยังต้องใส่แมสก์กันอยู่

ถัดมาคือหน้าจอ Retina HD ขนาด 4.7 นิ้วที่ให้มา เมื่อจับถือใช้งานตัวเครื่องจะสามารถใช้งานได้จากมือข้างเดียว ไม่เหมือนกับสมาร์ทโฟนจอใหญ่รุ่นอื่นที่ต้องใช้มืออีกข้างคอยประคองเวลาใช้งาน

ขณะที่รอบตัวเครื่องจะมีปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มปิดเสียงอยู่ทางซ้าย ปุ่มเปิดเครื่องอยู่ทางขวา ด้านล่างเป็นพอร์ต Lightning สำหรับเสียบชาร์จ และเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์


ส่วนในกล่องที่ให้มาจะเหลือแค่สายชาร์จ USB-C to Lighting เท่านั้น และเมื่อเทียบกับขนาดของกล่อง iPhone SE 2 ล็อตแรกที่วางจำหน่าย (iPhone SE 2 ที่วางขายหลัง iPhone 12 เปิดตัวไม่แถมอะแดปเตอร์แล้ว) จะเห็นถึงความต่างของขนาดที่เล็กลงอย่างชัดเจน

นอกจากนี้ สำหรับสายเกม หรือความบันเทิง ด้วยการที่ตัวเครื่องทำงานบน A15 Bionic ทำให้รองรับการประมวลผลเกมบนสมาร์ทโฟนได้อย่างลื่นไหล เรียกได้ว่า iPhone 13 เล่นเกมลื่นยังไง iPhone SE 3 ก็เล่นได้ลื่นเท่านั้น

แปลว่า iPhone SE 3 จะเล่นเกมได้ลื่นที่สุด เมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ในช่วงระดับราคาเดียวกัน รวมถึงในรุ่นที่ราคาสูงกว่าด้วย โดยมีปัจจัยอย่างเรื่องขนาดหน้าจอที่เล็กลงมาประกอบ ทำให้การแสดงผลทำได้ดีเมื่อเทียบกับเครื่องที่จอความละเอียดสูงกว่า


สิ่งที่น่าเสียดายก็คือเรื่องของแบตเตอรร่ ที่แม้ว่า iPhone SE 3 จะสามารถใช้งานได้นานขึ้นกว่า iPhone SE 2 อีก 2 ชั่วโมง จากการประหยัดพลังงานของชิปเซ็ต A15 Bionic แต่ในขณะเดียวกันเมื่อตัวเครื่องต้องจับสัญญาณ 5G ทำให้ใช้พลังงานเยอะขึ้นด้วย

ดังนั้น ในการใช้งานอาจจะต้องพกแบตเตอรี่สำรอง เพื่อให้ใช้งานได้ตลอดวัน ไม่เช่นนั้นช่วงเย็นๆ อาจจะต้องชาร์จซ้ำอีกครั้งก่อนออกจากที่ทำงานกลับบ้าน ซึ่งตัวเครื่องรองรับการชาร์จเร็ว 20W จึงสามารถชาร์จได้กว่า 50% ใน 30 นาที

กล้องถ่ายดีขึ้น แม้ใช้เลนส์เดิม


อีกจุดที่พัฒนาขึ้นมาได้น่าสนใจคือเรื่องของการถ่ายภาพในสภาพแสงปกติ ที่เลนส์ความละเอียด 8 ล้านพิกเซลที่ให้มา นำมาประมวลผลด้วย Neural Engine บน A15 Bionic ทำให้ภาพที่ผ่านเทคโนโลยี Deep Fusuin ปรับแต่งสีสันให้สวยงามขึ้น








รวมถึงสกินโทนของการถ่ายภาพนิ่ง และภาพวิดีโอที่สมจริงมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญคือรองรับการถ่ายวิดีโอระดับ 4K60fps ได้แบบลื่นๆ โดยไม่ต้องกังวลว่าเครื่องจะร้อนจนไม่สามารถถ่ายได้

เช่นเดียวกับกล้องหน้า 7 ล้านพิกเซล ที่มีการนำ Deep Fusion และ HDR มาใช้งานด้วย เมื่อรวมกับเอฟเฟกต์ภาพถ่ายบุคคล ทำให้กลายเป็นว่า iPhone SE 3 มีการปรับปรุงในแง่ของกล้องถ่ายภาพอย่างน่าสนใจ

จะติดอยู่ตรงที่ตัวกล้องมากับเลนส์เดียว ทำให้การถ่ายภาพบุคคลจับได้เฉพาะใบหน้าคนเท่านั้น ไม่สามารถใช้งานกับวัตถุหรือสัตว์เลี้ยงได้ เนื่องจากไม่มีเลนส์มาช่วยประมวลผลชัดลึกชัดตื้นเพิ่มเติม ก็ถือว่าเป็นข้อจำกัดหนึ่งของเครื่องรุ่นนี้

5G ให้มาใช้ แต่ยังไม่สุด

ในส่วนของการใช้งาน 5G ตัวเครื่อง iPhone SE 3 มากับภาครับสัญญาณแบบ MIMO 2x2 แตกต่างจากใน iPhone 12 และ iPhone 13 ที่รองรับ 5G แบบ MIMO 4x4 ทำให้ความเร็วสูงสุดที่ได้จะไม่ขึ้นไปแตะรับดับ 1 Gbps แต่จะอยู่ที่สูงสุดไม่เกิน 866 Mbps ซึ่งเท่าที่ทดสอบในไทยก็จะวิ่งอยู่ราว 600 Mbps

แน่นอนว่าความเร็วระดับ 600 Mbps ก็เพียงพอกับการใช้งานเครือข่าย 5G แบบเต็มประสิทธิภาพแล้ว ซึ่งจุดที่ต้องคำนึงต่อมาคือต้องมีแพกเกจ 5G ที่รองรับการใช้งานด้วย


สรุป

iPhone SE 3 นับว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่แรง และน่าสนใจมากรุ่นหนึ่งจากการที่รองรับ 5G และวางจำหน่ายในราคาเริ่มต้น 15,900 บาท แต่ก็มีข้อจำกัดในแง่ของขนาดหน้าจอ 4.7 นิ้ว ที่ค่อนข้างเล็ก

ดังนั้นอาจจะต้องตัดสินใจว่าได้เครื่องจอเล็ก แลกกับเครื่องประสิทธิภาพสูงนั้นตอบโจทย์การใช้งานมากแค่ไหน หรือถ้านำมาใช้งานเป็นเครื่องที่ 2 หรือเครื่องสำรองเชื่อว่า iPhone SE ตอบโจทย์แน่อน


กำลังโหลดความคิดเห็น