ความโดดเด่นของ Samsung Galaxy S22 ในภาพรวมแล้วถือว่ามีการอัปเกรดในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะเรื่องของชิปเซ็ต และกล้องถ่ายภาพที่พัฒนาขึ้นจากรุ่นก่อนอย่างก้าวกระโดด ผสมผสานกับจุดเด่นสำคัญใน S22 Ultra อย่างการนำปากกา S Pen มาให้ใช้งานแบบเต็มรูปแบบ
1.ชิปเซ็ต Snapdragon 8 Gen 1
ถือว่าเหนือความคาดหมายสำหรับผู้ที่ติดตามสมาร์ทโฟนแฟลกชิปของซัมซุงมาตลอด เพราะตามปกติแล้วรุ่นที่วางจำหน่ายในประเทศไทยมักจะเลือกใช้งานชิปเซ็ต Exynos ที่ทางซัมซุงเป็นผู้ผลิตขึ้นมา แต่กลายเป็นว่า ในปีนี้ ซัมซุง ประเทศไทย เลือกนำรุ่นที่ใช้งาน Snapdragon 8 Gen 1 เข้ามาทำตลาดแทน
นั่นแปลว่า Galaxy S22 ซีรีส์ทั้ง 3 รุ่น จะทำงานบนชิปเซ็ตรุ่นท็อปของ Qualcomm Snapdragon 8 Gen 1 ที่ผลิตขึ้นบนสถาปัตยกรรมแบบ 4 นาโนเมตร ทำให้ได้ประสิทธิภาพในการประมวลผลที่แรงขึ้นกว่ารุ่นเดิม และประหยัดพลังงานมากขึ้นด้วย
นอกจากนี้ ยังเพิ่มความสามารถในการประมวลผลของ AI ด้วยชิป NPU ที่ใส่มาให้ นำมาช่วยในเรื่องของการถ่ายภาพ โดยเฉพาะการถ่ายภาพในที่แสงน้อยที่เป็นจุดเด่นหลักของเครื่องในซีรีส์นี้
2.นำ S Pen มาอยู่บน Galaxy S22 Ultra
ในปีที่ผ่านมา หลังจากซัมซุงประกาศยุติการพัฒนา Galaxy Note ซีรีส์ พร้อมปรับให้ Galaxy S21 Ultra รองรับการใช้งานปากกา S Pen รวมถึงใน Galaxy Z Fold3 ด้วย นับว่าเป็นจุดสิ้นสุดของซีรีส์ Note อย่างเป็นทางการ
แต่กลายเป็นว่าในปีนี้ Galaxy Note ได้กลับมาเกิดใหม่แล้วใน Galaxy S22 Ultra ซึ่งถือเป็นสมาร์ทโฟนในตระกูล Galaxy S รุ่นแรกที่มีช่องเก็บปากกา S Pen ให้ใช้งาน รวมถึงดีไซน์ของตัวเครื่องที่ต่อยอดมาจาก Note20 ก็ว่าได้
จุดเด่นของ S Pen ในรุ่นนี้ที่เพิ่มขึ้นมาคือรองรับการตอบสนองบนหน้าจอได้ไวขึ้นเหลือ 2.8ms จากเดิมบน Note20 อยู่ที่ 9ms ทำให้เวลาจดบันทึก หรือวาดเขียนบนหน้าจอจะให้ความรู้สึกสมจริง และลื่นไหลมากยิ่งขึ้น
พร้อมยังคงความสามารถในการใช้ S Pen ที่เชื่อมต่อบลูทูธพลังงานต่ำกับเครื่องเพื่อใช้เป็นชัตเตอร์กล้องถ่ายภาพ ที่สามารถตวัดปากกาเพื่อออกคำสั่งต่างๆ ให้ตัวเครื่องภายใต้ฟีเจอร์ Air Actions ได้เช่นเดิม
3.ยกระดับมาตรฐานกล้องสมาร์ทโฟน
อีกจุดที่ถือเป็นจุดเด่นของสมาร์ทโฟนตระกูล Galaxy S มาโดยตลอดคือเรื่องของการถ่ายภาพนิ่ง และวิดีโอ เพราะถ้ามองย้อนไปตั้งแต่ Galaxy S10 ถือเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่นำกล้องมุมกว้างเข้ามาใช้งาน รวมถึงการถ่ายวิดีโอระดับ 4K
ตามมาด้วยใน Galaxy S20 ที่เพิ่มกล้องมาเป็นความละเอียด 108 ล้านพิกเซล ซูม 100 เท่า และรองรับการถ่ายวิดีโอ 8K พอใน Galaxy S21 เพิ่มการถ่ายภาพแบบไฟล์ RAW ให้ช่างภาพสามารถนำไปใช้งาน และการถ่ายวิดีโอที่สามารถสลับระยะเลนส์ได้
พอมาเป็นใน Galaxy S22 ได้เพิ่มความสามารถของการถ่ายภาพในที่มืด ที่ซัมซุงเรียกว่า Nightography เข้ามา จากการนำความแรงของชิปเซ็ตรุ่นใหม่ที่มี NPU ที่เร็วขึ้น มาประมวลผลร่วมกับเซ็นเซอร์ถ่ายภาพรุ่นใหม่ ทำให้สามารถรวมพิกเซลแสงที่เกิดขึ้นเข้ามาช่วยเพิ่มความคมชัดของภาพ
รวมถึงการนำ AI Multi Frame มาช่วยในการบันทึกภาพนิ่งสูงสุด 20 เฟรม เข้ามาเป็นรูปเดียว ส่งผลให้สามารถถ่ายภาพในที่มืด โดยเก็บรายละเอียดได้ครบ โดยเฉพาะสี และความสว่างบนใบหน้า โดยที่ฉากหลังยังคงคุณภาพเช่นเดิม
ในขณะที่การถ่ายภาพวิดีโอ ได้เพิ่มความสามารถของโหมดกันสั่นให้ดียิ่งขึ้น ทำให้สามารถถ่ายวิดีโอในที่แสงน้อย มาประมวลผลร่วมกับ AI เพื่อลดนอยซ์ในภาพได้ และยังมีระบบในการปรับเฟรมเรตภาพอัตโนมัติเพื่อให้เข้ากับสภาพแสง และวัตถุที่โฟกัสระหว่างบันทึกวิดีโอ เพื่อความสมจริงมากยิ่งขึ้น
4.หน้าจอปรับการแสดงผลตามคอนเทนต์
นอกเหนือจากกล้องแล้ว หน้าจอเป็นอีกจุดที่ทำให้ Galaxy S22 ซีรีส์ น่าสนใจ โดยเฉพาะการนำออกไปใช้งานในสภาพแสงจ้า โดยในรุ่นนี้ได้มีการเพิ่มความสว่างหน้าจอสูงสุดมาอยู่ที่ 1,750 nits ทำให้มองเห็นรายละเอียดได้แม้อยู่กลางแดด
พร้อมกับการพัฒนารูปแบบการแสดงผลให้เหมาะกับคอนเทนต์ที่ใช้งาน (Adaptive Refresh Rate) ที่ใน Galaxy S22 Ultra ขนาดหน้าจอ 6.8 นิ้ว มีอัตราการแสดงผลที่ 1-120 Hz ในขณะที่ Galaxy S22 6.1 นิ้ว และ S22+ 6.6 นิ้ว มีอัตราการแสดงผลที่ 10-120 Hz
โดยการปรับการแสดงผลให้เหมาะสมจะมาช่วยในเรื่องของระยะเวลาการใช้งานบนแบตเตอรี่ที่เพิ่มขึ้น และยังให้ประสบการณ์ใช้งานบนหน้าจอที่ลื่นไหลเช่นเดิม อย่างเช่นในกรณีที่เปิดเว็บเบราว์เซอร์ หรือใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์ก แล้วเลื่อนมาอยู่ดูรูปภาพเฉยๆ หน้าจอจะปรับอัตราการตอบสนองให้ลดลงต่ำสุดที่ 1 Hz แต่ถ้ามีการเลื่อนปัดหน้าจอไปมาจะเร่งอัตราการตอบสนองขึ้นไปสูงสุดที่ 120 Hz เป็นต้น
ทำให้เมื่อนำมาใช้งานกับ S22 Ultra ที่ให้แบตเตอรี่มาใหญ่ถึง 5,000 mAh นั้น จะทำให้สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องถึง 2 วันเลยทีเดียว ในขณะที่ S22 และ S22+ ที่มีแบตเตอรี่เล็กลงมาอยู่ที่ 4,500 mAh และ 3,700 mAh ก็ยังสามารถใช้งานได้เกิน 1 วันเช่นเดียวกัน
5.ตัวเครื่องแข็งแรง และรักษ์โลก
ในการผลิตตัวเครื่องของ Galaxy S22 ซีรีส์ ได้มีการนำอะลูมิเนียมที่แข็งแรงที่สุด (Armor Aluminum) มาใช้งานเป็นครั้งแรกในซีรีส์นี้ จากก่อนหน้านี้ที่เริ่มนำมาใช้งานกับ Galaxy Z Fold3 และ Z Flip3 ทำให้โครงของตัวเครื่องมีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกัน ยังนำกระจก Corning Gorilla Glass Victus+ มาใช้งานทั้งด้านหน้า และหลังในทั้ง 3 รุ่น ทำให้สามารถรองรับแรงกระแทก และรอยขีดข่วนได้มากขึ้นกว่าเดิม โดยยังคงความสามารถในการกันน้ำ กันฝุ่นระดับ IP68 หรือน้ำลึก 1.5 เมตร ไม่เกิน 30 นาทีได้
นอกจากนี้ การที่ซัมซุงประกาศแนวคิดในการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน ทำให้มีการนำวัสดุจากธรรมชาติกลับมารีไซเคิลในผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง โดยใน Galaxy S22 ซีรีส์ ยังได้มีการนำตาข่ายของอวนจับปลา ที่นับเป็นพลาสติกจากท้องทะเล กลับมาผลิตใหม่เป็นพลาสติกที่ยืดหยุ่นได้ ในชิ้นส่วนของปุ่มปรับระดับเสียง ไม่นับรวมกับกล่องของบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากวัสดุรีไซเคิล 100% อยู่แล้ว
ทั้งหมดนี้คือ 5 จุดเด่นของ Samsung Galaxy S22 ซีรีส์ ที่เพิ่งเปิดตัวไป พร้อมเปิดให้สั่งจองเพื่อรับเครื่องล่วงหน้าในวันที่ 25 กุมภาพันธ์นี้ และวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 4 มีนาคม 2565 โดยในช่วงสั่งจองล่วงหน้าจะได้รับหน่วยความจำเพิ่มเท่าตัว แต่จ่ายในราคารุ่นเริ่มต้น