xs
xsm
sm
md
lg

Review : Apple AirPods 3 ดีไซน์ใหม่ รองรับ Spatial Audio

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



แอปเปิล เริ่มทำตลาด AirPods ในดีไซน์เดิมมาแล้วกว่า 5 ปี ก่อนได้เวลาในการปรับดีไซน์ครั้งใหญ่ใน AirPods รุ่นที่ 3 (3rd Generation) ซึ่งในการเปลี่ยนรูปแบบครั้งนี้ ออกมาในลักษณะที่ใกล้เคียงกับ AirPods Pro ที่ตัดจุดหูฟังออกไป

AirPods 3 เพิ่มความโดดเด่นในแง่ของการสวมใส่ให้แน่นขึ้น สำหรับผู้ที่ไม่ชื่นขอบหูฟังแบบ In-Ears ในขณะเดียวกันก็มีการเพิ่มเซ็นเซอร์ตรวจจับใหม่ๆ เข้ามาช่วยให้การใช้งานสะดวกขึ้น พร้อมระบบเสียงรอบทิศทางแบบใหม่ที่ช่วยเพิ่มประสบการณ์เสียงแบบติดตามศีรษะ

AirPods 2 / AirPods 3 / AirPods Pro
AirPods 3 วางจำหน่ายแล้วในราคา 6,790 บาท มาพร้อมเคสชาร์จไร้สายที่รองรับ MagSafe ส่วน AirPods รุ่นเดิมปรับราคาลงไปอยู่ที่ 4,990 บาท ไม่รองรับการชาร์จไร้สาย ส่วน AirPods Pro และ AirPods Max ยังอยู่ที่ราคาเดิม 8,992 บาท และ 19,900 บาท


ข้อดี
ดีไซน์ใหม่ สวมใส่สบายเหมือนเดิม
รองรับระบบเสียงติดตามศีรษะ Spatial Audio
แบตเตอรีใช้งานได้นานขึ้นเป็น 6 ชั่วโมง
ทำงานร่วมกับ FindMy เพื่อค้นหาหูฟังที่หลุดหายได้แล้ว


ข้อสังเกต
ด้วยการที่หูฟังมีขนาดเดียว อาจไม่เหมาะกับการใช้งานของทุกคน
ยังไม่มีระบบตัดเสียงรบกวน
คุณภาพเสียงอยู่ในระดับมาตรฐาน ไม่ได้โดดเด่นเป็นพิเศษ


ปรับดีไซน์ใหม่ สวมสบายเหมือนเดิม


การปรับดีไซน์ของ AirPods 3 ให้มีลักษณะคล้ายกับ AirPods Pro ด้วยลักษณะโค้งมน น้ำหนักเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 4.28 กรัม ในจุดนี้ช่วยให้เวลาสวมใส่แล้วมั่นใจมากขึ้น ส่วนเคสที่ 37.91 กรัม ในขนาดใกล้เคียงกับ AirPods 2 ถือว่าการพกพาไปใช้งานยังสะดวกเหมือนเดิม

AirPods 2 / AirPods 3 / AirPods Pro
ตัวก้านของ AirPods 3 จะมีการปรับขนาดให้สั้นลงราว 1 ใน 3 เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม และมีขนาดสั้นกว่า AirPods Pro อยู่เล็กน้อย ประกอบกับการที่เปลี่ยนรูปแบบการสั่งงานมาใช้การบีบก้านเช่นเดียวกับใน AirPods Pro ทำให้เวลาบีบก้านของ AirPods 3 จะค่อนข้างยากในช่วงแรก ต้องปรับความคุ้นชินพอสมควรจากการที่ก้านสั้นลง


ในส่วนของการควบคุม AirPods 3 สามารถบีบก้านได้ 4 ลักษณะคือ บีบ 1 ครั้งเพื่อเล่น/หยุด รับสาย บีบ 2 ครั้ง เพื่อเล่นเพลงถัดไป บีบ 3 ครั้ง เพื่อเล่นเพลงก่อนหน้า และบีบค้างเพื่อเรียกใช้งานระบะสั่งงานด้วยเสียง Siri หรือจะใช้คำสั่งเสียงอย่าง ’หวัดดี Siri’ ก็ได้เช่นกัน


อีกความสามารถที่เพิ่มขึ้นมาคือ AirPods 3 ทนเหงื่อ และน้ำแล้วในระดับ IPX4 ช่วยให้สามารถใส่ออกกำลังกาย หรือรับการกระเซ็นของน้ำฝน แต่ไม่สามารถนำไปแช่ในน้ำที่มีแรงดันได้ และเมื่อหูฟังเปียกก็ไม่ควรเสียบชาร์จกลับไปในเคสชาร์จด้วย

เคส AirPods 2 / AirPods 3 / AirPods Pro
ตัวเคสชาร์จที่เปลี่ยนมาในลักษณะแนวนอนนั้น จริงๆ แล้วถือว่ามีขนาดใกล้เคียงกับ AirPods 2 แต่ปรับเปลี่ยนมุมจากแนวตั้ง มาเป็นแนวนอนเหมือนใน AirPods Pro เท่านั้น และที่สำคัญคือเคสยังรองรับการชาร์จแบบ MagSafe ด้วย

เคสชาร์จไร้สายรองรับ MagSafe
สำหรับแบตเตอรีของ AirPods 3 สามารถใช้งานได้สูงสุดราว 6 ชั่วโมง และใช้สำหรับการสนทนาได้ราว 4 ชั่วโมง เมื่อรวมกับการชาร์จจากเคสจะใช้งานได้สูงสุด 30 ชั่วโมง ในขณะที่การชาร์จ 5 นาที จะช่วยให้ใช้งานต่อได้ราว 1 ชั่วโมง


ระบบเสียงใหม่ - เพิ่มเซ็นเซอร์ผิวหนัง


ภายในของ AirPods 3 ถือเป็นอีกจุดที่มีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก โดยเฉพาะการปรับมาใช้ชิปหูฟัง H1 ที่เพิ่มความสามารถของหูฟังไร้สายไปอีกขั้น ด้วยการนำเทคโนโลยีหลายๆ ชนิดมาใส่ ช่วยให้ประสบการณ์ใช้งาน AirPods 3 ดีขึ้นกว่าเดิม


ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มระบบเสียงตามตำแหน่งพร้อมการติดตามศีรษะ (Spatial Audio) ที่ปัจจุบันเพลงใน Apple Music เริ่มรองรับแล้ว รวมถึงการรับชมภาพยนต์สตรีมมิ่งผ่านแพลตฟอร์มอย่าง Netflix ที่รองรับ Dolby Atmos ก็จะได้เสียงแบบรอบทิศทางเช่นเดียวกัน

โดยเมื่อเปิดใช้งาน Spatial Audio เวลารับฟังเพลง หรือดูภาพยนต์ จะได้ประสบการณ์เหมือนนั่งดูหนังในโรงภาพยนต์ เพราะจะได้ยินเสียงจากรอบทิศทาง และในขณะเดียวกันจากระบบติดตามศีรษะ ทำให้เมื่อเสียงที่ได้ยินจะมาจากด้านหน้าเสมอ

นอกจากนี้ Spatial Audio ยังเพิ่มความสามารถให้รองรับการใช้งานร่วมกับ FaceTime ทำให้เวลาประชุมสายหลายๆ คนพร้อมกัน เสียงที่ได้ยินก็จะมาจากหลายทิศทาง เหมือนนั่งอยู่ในห้องประชุมด้วยกันด้วย


ถัดมาคือการเพิ่ม Adaptive EQ คือการปรับ EQ แบบอัตโนมัติ จากการเพิ่มไมโครโฟนที่หันเข้าด้านใน เพื่อให้ได้ยินเสียงเดียวกับที่เราได้ฟัง และปรับแต่งเสียงในช่วงความถี่เสียงต่ำ เสียงกลางให้เหมาะสมที่สุด

อีกจุดที่เพิ่มเข้ามาในส่วนของเซ็นเซอร์ตรวจจับการสวมใส่คือ เซ็นเซอร์ผิวหนังแบบออปติคัล ร่วมกับเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว ให้ AirPods รับรู้ว่ากำลังสวมใส่ใช้งานอยู่ หรือเก็บไว้ในกระเป๋าแบบไม่ได้ใส่เคส ช่วยให้ตัวเครื่องเปิด-ปิด การทำงานได้แม่นยำ และยืดระยะเวลาใช้งานแบตเตอรีด้วย


ไมโครโฟนของ AirPods 3 เป็นอีกส่วนที่ปรับปรุงขึ้นด้วยการนำผ้าตาข่ายอะคูสติกมาคลุมไว้เพื่อลดเสียงรบกวนจากลมขณะสนทนา เมื่อรวมกับการใช้ไมโครโฟนแบบบีมฟอร์มมิ่ง จะช่วยให้เสียงสนทนาคมชัด ซึ่งเป็นจุดเด่นของ AirPods ในทุกรุ่นอยู่แล้ว


ฟีเจอร์สำคัญที่พลาดไม่ได้เลยคือการเพิ่มระบบค้นหาติดตาม AirPods 3 ด้วย FindMy ที่สามารถใช้ในการค้นหาหูฟังได้ทั้ง 2 ข้าง โดยเมื่อเข้าใกล้และอยู่ในระยะเชื่อมต่อบลูทูธ จะสามารถใช้ iPhone ช่วยระบุทิศทางเพิ่มเติมได้เหมือน AirTags ด้วย ทำให้ไม่ต้องกังวลเวลาทำหลุดหายข้างเดียวอีกต่อไป

การใช้งานในอีโคซิสเตมส์


หนึ่งในจุดที่ทำให้ AirPods และ AirPods Pro กลายเป็นหูฟังไร้สายแบบปกติ และหูฟังไร้สายแบบ In-Ears ตัดเสียงรบกวนที่ขายดีที่สุด หนีไม่พ้นเรื่องของการใช้งานในอีโคซิสเตมส์ของ Apple

เพราะเมื่อเชื่อมต่อ AirPods เข้ากับอุปกรณ์ใดๆ ของแอปเปิลก็ตามอย่าง iPhone เครื่องอื่นๆ อย่าง iPad หรือ Mac ที่ใช้ Apple ID เดียวกันก็จะสามารถเชื่อมต่อกับ AirPods ได้แบบอัตโนมัติ

นอกจากนี้ยังรองรับการสลับใช้งานระหว่างอุปกรณ์ได้ทันทีอย่างกรณีฟังเพลง หรือรับชมภาพยนต์ใน Mac อยู่ แล้วมีสายเข้าใน iPhone ก็สามารถสลับไปรับสายโทรศัพท์ได้ทันที โดยไม่ต้องคอยกดเชื่อมต่อใหม่ และเมื่อสนทนาเสร็จกลับมาเล่นเพลง/หนัง ต่อเสียงก็จะเชื่อมต่อจากอุปกรณ์เดิมแบบไร้รอยต่อ


สรุป


การปรับปรุงของหูฟังไร้สาย AirPods 3 ที่เพิ่มในเรื่องของ Spatial Audio และ Adaptive EQ จะช่วยเพิ่มประสบการณ์ใช้งานของ AirPods ให้ดียิ่งขึ้น เหมาะกับผู้ที่กำลังมองหาหูฟังไร้สายรุ่นใหม่มาใช้งานได้เป็นอย่างดี

แต่แน่นอนว่าด้วยการที่ AirPods 3 ยังเป็นหูฟังในลักษณะของการสวมใส่ปกติ ทำให้ไม่ได้รองรับการตัดเสียงรบกวนด้วย และด้วยขนาดของหูฟังที่มีขนาดเดียว ใครที่เดิมเคยใส่ AirPods ใช้งานไม่ได้ พอมาเป็นรุ่นใหม่อย่าง AirPods 3 ที่ปรับดีไซน์แล้ว ก็ยังมีโอกาสที่จะใส่แล้วไม่มั่นใจ กังวลว่าจะหลุดจากหูอยู่เช่นเดิม


กำลังโหลดความคิดเห็น