ที่ผ่านมา iPad mini ถือเป็นหนึ่งในแท็บเล็ตของ Apple ที่มีกลุ่มผู้ใช้งานที่ชัดเจนมากที่สุดรุ่นหนึ่ง จากการที่มีขนาดตัวเครื่องเล็ก พกพาง่าย ทำให้เหมาะกับกลุ่มที่ต้องการใช้งานเพื่อเข้าถึงคอนเทนต์เป็นหลัก เพราะสามารถใช้ในการท่องเว็บ โซเชียลมีเดียต่างๆ หรือแม้แต่ใช้อ่านอีบุ๊กได้สบาย
IPad mini รุ่นที่ 6 ในปี 2021 นี้ ถือว่าเข้ามาปรับกลุ่มผู้ใช้งานให้กว้างขึ้นกว่าเดิม ด้วยการปรับดีไซน์แบบใหม่มาใช้ลักษณะเดียวกับ iPad Pro และ iPad Air ในรูปทรงตัวเครื่องสี่เหลี่ยมแล้ว และหันมาใช้หน้าจอแบบ Liquid Retina ที่แสดงผลคมชัดขึ้น
พร้อมตัวเครื่องที่แรงขึ้น รองรับการเชื่อมต่อ 5G USB-C และ Appel Pencil รุ่นที่ 2 จึงกลายเป็นแท็บเล็ตขนาดเล็ก พกพาง่าย ที่น่าใช้ และครบมากที่สุดในเวลานี้ แต่ก็แลกกับราคาเริ่มต้นที่แพงขึ้น และมีข้อจำกัดพอสมควรในแง่ของพื้นที่เก็บข้อมูลรุ่นเริ่มต้นที่ 64 GB เท่านั้น
เบื้องต้น Apple ประกาศวันวางจำหน่าย iPad mini ที่หน้าร้าน Apple Store ในวันที่ 30 ก.ย. พร้อมกับเปิดให้สั่งจองผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันจะได้รับเครื่องประมาณปลายเดือนตุลาคม ส่วนตัวแทนจำหน่ายอย่าง iStudio จะเริ่มวางขายหน้าร้านในวันที่ 1 ต.ค. ที่คาดว่ามีโอกาสหมดลงอย่างรวดเร็ว ใครที่กำลังมองหา iPad mini อาจจะต้องรอล็อตต่อๆ ไปที่จะทยอยเข้ามาวางจำหน่ายแทน
ข้อดี
- ดีไซน์ใหม่ จอ Liquid Retina 8.3 นิ้ว
- รองรับการสแกนลายนิ้วมือด้วย Touch ID
- รุ่น Cellular รองรับการเชื่อมต่อ 5G แล้ว
- พอร์ตเชื่อมต่อ USB-C ช่วยให้ใช้งานกับอุปกรณ์อื่นสะดวกขึ้น
ข้อสังเกต
- ไม่มีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม.
- ไม่มี Smart Connector สำหรับต่อคีย์บอร์ดเช่นเดียวกับใน iPad Air / iPad Pro
- การใช้งาน iPadOS 15 กับหน้าจอขนาดเล็กลงยังไม่สมบูรณ์เท่าที่ควร
โฉมใหม่ ดีอย่างไร?
การที่ iPad mini หันมาใช้การออกแบบเช่นเดียวกับใน iPad Air นั่นแปลว่า ความสามารถต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นมาให้ใช้งานใน iPad Air จะตามมาใน iPad mini รุ่นนี้ด้วย โดยเฉพาะเรื่องพอร์ตการเชื่อมต่อที่เป็น USB-C เรียบร้อยแล้ว
โดยตัวเครื่อง iPad mini เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้าจะมีขนาดที่เล็กลง ให้จอแสดงผลที่ใหญ่ขึ้น โดยมีขนาดอยู่ที่ 134.8 x 195.4 x 6.3 มิลลิเมตร น้ำหนักรุ่น WiFi 293 กรัม รุ่น Cellular 297 กรัม โดยมีสีให้เลือกทั้งหมด 4 สีคือ ม่วง ชมพู สตาร์ไลท์ และเทาสเปซเกรย์
หน้าจอของ iPad mini จะอยู่ที่ 8.3 นิ้ว เป็นแบบ Liquid Retina ที่ให้ความละเอียด 2266 x 1488 พิกเซล 326 ppi รองรับการใช้งาน Apple Pencil รุ่นที่ 2 มีการเคลือบสารกันแสงสะท้อนมาให้ พร้อมรองรับการแสดงผลบนขอบเขตสีกว้างระดับ P3
จุดที่น่าเสียดายเล็กน้อยคือ หน้าจอยังไม่ได้มากับ Refresh Rate 120 Hz ทำให้ถ้าเคยใช้งาน iPad Pro หรือใช้งานคู่กับ iPhone 13 Pro ที่กำลังจะวางจำหน่าย อาจจะรู้สึกว่าจอไม่ค่อยลื่นไหล แต่ก็แน่นอนว่าด้วยระดับราคาของเครื่องก็อยู่ในจุดที่รับได้
ตรงกึ่งกลางมีกล้องหน้ามุมกว้างความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รองรับการใช้งาน FaceTime HD รวมถึงฟีเจอร์อย่าง Center Stage หรือจัดให้อยู่ตรงกลาง เวลาที่ประชุมสาย ตัวกล้องจะมีการนำ AI มาช่วยในการจัดตำแหน่งใบหน้าของผู้ใช้ด้วย
เมื่อใช้งานในแนวตั้ง ขอบเครื่องทางฝั่งขวาจะใช้แปะ Apple Pencil รุ่นที่ 2 เพื่อเชื่อมต่อใช้งานในครั้งแรก และไว้ชาร์จแบตเตอรีในตัว โดยจะเป็นแถบแม่เหล็กตลอดทั้งแนว ซึ่งความยาวของ Apple Pencil จะสั้นกว่าตัวเครื่องเล็กน้อย
ปุ่มเปิดเครื่องที่เป็นจุดสแกนลายนิ้วมือ Touch ID ขึ้นไปอยู่ที่แถบด้านบนฝั่งขวา เช่นเดียวกับปุ่มปรับระดับเสียงที่อยู่ด้านบนฝั่งซ้าย ถือเป็นการเปลี่ยนจุดให้ทางฝั่งขวาเครื่องสามารถแปะ Apple Pencil ลงไปได้ ทำให้เวลาใช้งานต้องมีการปรับตัวกันบ้าง
หลังเครื่องจะเป็นโทนสีเรียบๆ มีโลโก้ ‘Apple’ อยู่ตรงกึ่งกลาง โดยมีกล้องหลักความละเอียด 12 ล้านพิกเซล f/1.8 อยู่ที่มุมบนพร้อมไฟแฟลข คุณภาพของกล้องที่ให้มาถือว่าสมเหตุสมผล สามารถใช้งานเป็นกล้องหลักแทนสมาร์ทโฟนได้เลย รองรับการบันทึกวิดีโอ 4K60fps
แบตเตอรีของ iPad mini เบื้องต้นแอปเปิลระบุว่า สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องราว 10 ชั่วโมง รองรับการชาร์จเร็วผ่าน USB-C โดยภายในกล่องมีอะเดปเตอร์ 20W มาให้พร้อมสายยาว 1 เมตร
แรงด้วย A15 Bionic
จุดที่ทำให้ iPad mini กลายเป็นแท็บเล็ตขนาดกะทัดรัดที่ทรงพลัง ก็คือการมาพร้อมชิปเซ็ต A15 Bionoc รุ่นที่เป็น CPU 6 คอร์ และ GPU 5 คอร์ พร้อม Neural Engine แบบ 16 คอร์ มาช่วยในการเรียนรู้และประมวลผลเพิ่มเติม
ถ้าเทียบกับ iPad mini รุ่นก่อนหน้าตัวเครื่องรุ่นปัจจุบันจะแรงกว่าถึง 40% ซึ่งถือว่ารองรับการใช้งานทุกอย่างได้อยู่แล้ว ทั้งการใช้งานทั่วไป จนถึงการนำไปใช้ในการประมวลผลความเร็วสูง อย่างการแต่งรูป หรือตัดต่อวิดีโออย่างง่ายๆ ได้บนเครื่องอยู่แล้ว
เพียงแต่ด้วยขนาดหน้าจอที่เล็ก รูปแบบการใช้งานจึงไม่ได้เน้นไปที่การทำงาน หรือใช้เพื่อสร้างโปรดักทิวิตี้มากนัก แต่เน้นเรื่องการใช้เพื่อเข้าเว็บ ดูยูทูป ใช้งานโซเชียล อ่านอีบุ๊ก เล่นเกม ซึ่งชิปเซ็ต A15 Bionic รองรับให้เล่นได้ลื่นไหลอยู่แล้ว
อีกกลุ่มที่มีโอกาสนำ iPad mini ไปใช้งานจะเป็นกลุ่มช่างภาพมืออาชีพ ที่ต้องการพกอุปกรณ์ไปใช้ในการเปิดดูรูปหลังจากถ่ายเสร็จ และด้วยการที่ตัวเครื่องสามารถเชื่อมต่อ USB-C เข้ากับกล้องได้ทันที ทำให้สามารถโอนถ่ายไฟล์ และส่งงานจบในตัว โดยไม่ต้องคอยพกคอมพิวเตอร์เลย
ทีมงานทดสอบเล่นเกมที่ใช้ประสิทธิภาพตัวเครื่องสูงอย่าง Genshin Impact ถือว่าแสดงผลได้อย่างลื่นไหล แต่แน่นอนว่าเมื่อเล่นไปนานๆ ก็มีอาการเครื่องร้อนบ้างแต่อยู่ในระดับที่รับได้ ไม่ถึงกับร้อนจนถือตัวเครื่องไม่ได้
ขณะเดียวกัน ยังสามารถเชื่อมต่อกับรีโมทเกมแบบบลูทูธ เพื่อเล่นได้อย่างสบาย ซึ่งแน่นอนว่ารวมถึงเกมต่างๆ ใน Apple Arcade ก็สามารถเล่นบน iPad mini ได้อย่างลื่นไหล
เชื่อมต่อได้ครบ
นอกเหนือจาก USB-C ที่กลายเป็นพอร์ตมาตรฐานของ iPad mini แล้ว ตัวเครื่องยังรองรับการเชื่อมต่อยุคใหม่ทั้ง 5G (รุ่น Cellular จะวางจำหน่ายในอนาคต) รองรับทั้งการใส่นาโนซิมปกติ และ eSIM
รวมถึง Wi-Fi 6 บนมาตรฐาน 802.11ax ให้เชื่อมต่อเน็ตได้เร็วถึง 1.2 Gbps ที่รองรับการเชื่อมต่อแบบ MIMO ทำให้สามารถเชื่อมต่อ Wi-Fi ได้ 2 ย่านความถี่พร้อมกัน อย่างการแชร์หน้าจอไปยัง Apple TV พร้อมไปกับท่องเว็บได้ด้วย และสุดท้ายคือบลูทูธ 5.0 ที่รองรับแบบพลังงานต่ำด้วย
อุปกรณ์เสริมไม่ครบไลน์
สิ่งที่น่าเสียดายอย่างหนึ่งใน iPad mini คือไม่มีพอร์ต Smart Connector มาให้ แตกต่างจากใน iPad Air หรือ iPad Pro ประกอบกับ Apple ไม่ได้มีแผนจะผลิต Magic Keyboard หรือ Smart Cover Keyboard มาให้ใช้งานกับ iPad mini อยู่แล้ว เพราะด้วยขนาดหน้าจอที่เล็ก ไม่ได้เหมาะกับการทำงานในลักษณะนั้น
ดังนั้น iPad mini จึงรองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์เสริมเฉพาะคีย์บอร์ดยบลูทูธ แทร็กแพดบลูทูธ และ Apple Pencil 2nd Gen เท่านั้น อุปกรณ์เสริมที่เหลือก็จะมีแต่ Smart Folio ในชุดสีที่ใกล้เคียงกับตัวเครื่องมาให้เพิ่มเติม
iPadOS ยังที่ยังไม่สมบูรณ์ในเครื่องเล็ก
ในแง่ของระบบปฏิบัติการในภาพรวม iPadOS 15 ที่เพิ่งมีการอัปเดตให้สามารถเพิ่มวิตเจ็ตบนหน้าจอได้อย่างอิสระ แต่กลายเป็นว่าพอมาใช้งานใน iPad หลายๆ สิ่งปรับได้น้อยกว่าบน iOS บางวิตเจ็ตมีขนาดเล็กทำให้ใช้งานได้ยาก
พร้อมกับอินเตอร์เฟสของ iPadOS เมื่อใช้กับเครื่องเล็กอย่าง iPad mini กลายเป็นว่ายังไม่สมบูรณ์ อย่างการเว้นพื้นที่บริเวณรอบข้างหน้าจอไว้ เมื่อเทียบกับใน iPad Air หรือ iPad Pro จะดูสมบูรณ์แบบมากกว่า
อย่างไรก็ตาม ข้อดีของ iPadOS คือการทำงานในลักษณะของ MultiTasking ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ผู้ใช้สามารถเลือกเปิด 2 แอปพลิเคชันแบ่งครึ่งหน้าจอใช้งาน รวมถึงเปิดแอปที่ 3 เป็นหน้าต่างลอยๆ เพื่อใช้งานเพิ่มได้อีก
ในจุดนี้เวลาใช้งาน iPad mini ในแนวนอนแล้วแบ่ง 2 หน้าจอ ช่วยให้สามารถทั้งดูข้อมูลจากหลายแอปได้พร้อมๆ กัน จนถึงสามารถใช้ในการทำงานเพิ่มเติมได้ด้วย
ราคาเริ่มต้นแพงขึ้น พื้นที่เก็บข้อมูลน้อย
สำหรับการจำหน่าย iPad mini รุ่นเริ่มต้น 64 GB จะอยู่ที่ 17,900 บาท (Cellular 23,400 บาท) เพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 13,900 บาท เท่านั้น แต่ก็แลกกับหน้าจอที่ดีขึ้น ดีไซน์ใหม่ ชิปเซ็ตใหม่ iPad mini จึงไม่ได้เป็นแท็บเล็ตรุ่นเริ่มต้นอีกแล้ว
ส่วนผู้ที่ต้องการใช้งานเป็นหลัก แนะนำให้เลือกซื้อรุ่น 256 GB 23,400 บาท (Cellular 28,900 บาท)แทน เพราะจะใช้งานในระยะยาวได้ดีกว่า และปัจจุบันไฟล์รูปภาพ และวิดีโอที่ใช้งานมีขนาดใหญ่ขึ้น แอปพลิเคชันต่างๆ ก็ใหญ่ขึ้น ทำให้ถ้าต้องใช้งานยาวๆ รุ่น 256 GB จะใช้ได้ดีกว่า แน่นอนว่า ถ้าใครไม่ได้ใช้ iPad mini เก็บไฟล์เป็นหลัก รุ่นเริ่มต้น 64 GB ก็เพียงพอใช้งาน แต่อาจจะต้องมีการซื้อพื้นที่เก็บไฟล์บนคลาวด์เพิ่มเติม ในกรณีที่พื้นที่ตัวเครื่องเต็ม
สรุป
ด้วยการปรับราคาเริ่มต้นของ iPad mini ขึ้นมาเป็น 17,900 บาท แตกต่างจาก iPad Air รุ่นเริ่มต้นที่ 19,900 บาท เพียง 2,000 บาทเท่านั้น แม้ว่า iPad mini จะได้ชิปเซ็ตที่ใหม่กว่า แต่ก็แลกกับหน้าจอขนาดเล็กกว่าด้วย ดังนั้น iPad mini จึงกลายเป็นรุ่นที่ต้องลองดูพฤติกรรมการใช้งานก่อนตัดสินใจเลือกซื้อ
เพราะถ้าอยากได้แท็บเล็ตราคาประหยัดแอปเปิล มี iPad รุ่นที่ 9 ในราคาหมื่นต้นๆ ถ้าเน้นที่จอแสดงผลก็เลือกได้เลยระหว่าง iPad mini ตามด้วย iPad Air และ iPad Pro ที่มีขนาดหน้าจอให้เลือกตั้งแต่ 8.3 นิ้ว 10.9 นิ้ว และ 12.9 นิ้ว iPad mini จะได้ความสะดวกในการพกพาติดตัวใช้งานมากที่สุด