xs
xsm
sm
md
lg

Review : Samsung Galaxy Z Fold3 | Flip3 5G แชร์ประสบการณ์หลังใช้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ความคาดหวังของ ซัมซุง (Samsung) ที่จะปลุกปั้นให้สมาร์ทโฟนจอพับกลายเป็นสมาร์ทโฟนเครื่องหลักของใครหลายๆ คน โดยเฉพาะการปรับราคาเริ่มต้นให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม แต่ในความเป็นจริงแล้ว ราคาถือเป็นปัจจัยรองจากความสะดวกในการใช้งาน ที่ทำให้ต้องใช้เวลาอีกสักพัก ถึงจะกลายเป็นเมนสตรีมในตลาดสมาร์ทโฟน

จุดเด่นหลักของ Z Fold3 ที่ถูกพัฒนาขึ้นมีทั้งการเพิ่มความแข็งแรงของตัวเครื่อง หน้าจอภายในรองรับการใช้งาน S Pen จอแสดงผลรองรับ Refresh Rate 120 Hz ทำให้นับเป็นสมาร์ทโฟนจอพับระดับไฮเอนด์มากขึ้น ในขณะที่ Z Flip3 เพิ่มขนาดหน้าจอแสดงผลภายนอกให้ใหญ่ และใช้งานได้มากขึ้น โดยทั้งคู่รองรับการทนน้ำมาตรฐาน IPX8 ด้วย

แต่กลายเป็นว่าหลังจากได้ทดลองใช้งานเครื่องทั้ง 2 รุ่น และใช้เวลามาพอสมควร พบว่า กลุ่มผู้ใช้งานของทั้ง 2 รุ่นนี้จะยังถูกจำกัดอยู่ อย่าง Fold3 จะเน้นที่กลุ่มนักธุรกิจ หรือระดับผู้บริหาร ที่นำไปใช้เพิ่มโปรดักทิวิตี้ในการใช้งาน ส่วน Z Flip3 จะกลายเป็นกลุ่มที่ต้องการสมาร์ทโฟนที่พับแล้วเครื่องเล็กพกพาติดตัวไปใช้งานได้ทุกที่ และให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเครื่องประดับชิ้นหนึ่ง

สำหรับรายละเอียดหลักๆ ของ Samsung Galaxy Z Fold3 5G | Z Flip3 5G สามารถย้อนกลับไปอ่านได้ที่ ‘ลองสัมผัส Samsung Galaxy Z Fold3 - Flip3’


ข้อดี
- นำเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้งานในทุกๆ ส่วนทั้งชิปเซ็ต หน้าจอ
- รูปแบบการใช้งานได้หลากหลายขึ้น รองรับ Multi-Tasking
- Fold3 กางแล้วได้หน้าจอขนาดใหญ่มาใช้งาน
- Filp3 เครื่องเล็ก พกพาง่าย ใช้งาน Flex Mode ได้สะดวก


ข้อสังเกต
- Fold3 ยังหนา และหนัก ทำให้ไม่สะดวกเวลาพกใช้งานต่อเนื่อง
- Fold3 กล้องใต้หน้าจอ คุณภาพไม่สมกับเป็นเครื่องระดับแฟลกชิป
- Flip3 จอแสดงผลภายนอกยังไม่ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน ทำให้สุดท้ายต้องคอยกางจอเพื่อใช้อยู่ดี


Z Fold3 vs Z Flip3 รุ่นไหน เหมาะกับคุณ


ด้วยรูปแบบการใช้งานของทั้ง 2 เครื่องที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทำให้ทั้ง Fold3 และ Flip3 จะมีกลุ่มผู้ใช้งานที่เห็นถึงความเหมาะสมในการนำไปใช้งานกันอยู่แล้ว โดยกลุ่มผู้ใช้งานหลักของ Fold3 จะยังคงเป็นผู้ชายที่ต้องการสมาร์ทโฟนเครื่องเดียวตอบโจทย์การใช้งานทั้งหมด ในขณะที่ Flip3 ที่ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง จะเน้นที่ความสะดวกในการพกใช้งาน และสีสันที่หลากหลาย

แต่เมื่อเจาะลึกลงไปถึงลักษณะการใช้งาน จะเห็นได้ว่า Fold3 จะมีความโดดเด่นในแง่ของการทำงานแบบ Multi-Tasking โดยเฉพาะเมื่อรองรับการใช้งานร่วมกับ S Pen ทำให้นอกจากเปิดแอปใช้งานพร้อมกันแล้ว ยังสามารถแบ่งครึ่งหน้าจอเพื่อใช้จดบันทึก หรือคอมเมนต์งานต่างๆ ได้ทันที

โดยการใช้งาน Fold3 จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ คือในระหว่างการเดินทาง หรือมีเวลาช่วงสั้นๆ ในการจับมือถือ จะเป็นการใช้ Fold3 กับจอภายนอกที่เป็น Dynamic AMOLED 2X ขนาด 6.2 นิ้ว เพื่อใช้เช็กข้อมูล การแจ้งเตือน หรืออ่านข้อความแชทแบบด่วนๆ


อีกรูปแบบคือการกางจอใช้งานที่ต้องมีความสะดวกในการใช้งานแบบ 2 มือ ทำให้สามารถเข้าถึงรายละเอียดที่เพิ่มมากขึ้นบนหน้าจอ Dynamic AMOLED 2X ขนาด 7.6 นิ้ว ที่ให้การแสดงผลแบบเต็มตา เพียงแต่จะไม่สามารถใช้งานได้ด้วยมือข้างเดียว


จากนั้นเมื่อกางจอของ Fold3 ออกมา ก็จะพบกับรูปแบบการใช้งานที่เพิ่มขึ้น ทั้งการเรียกใช้งาน Multi-Windows ในการเปิดใช้งานได้สูงสุด 3 แอปพร้อมกัน โดยจะเป็นการแบ่งครึ่งหน้าจอสำหรับแอปหลักที่ใช้งาน และอีกครึ่งที่เหลือจะถูกแบ่งไปใช้งานอีก 2 แอป เพื่อเข้าถึงข้อมูล ตารางนัดหมาย หรือการเปิดรูปภาพประกอบเป็นต้น


จุดที่น่าสนใจใน Z Fold3 คือการพัฒนาอินเตอร์เฟส One UI 3.1 บน Fold3 ให้รองรับการแบ่งหน้าจอแอปพลิเคชันได้มากขึ้น และยังเปิดให้ผู้ใช้เลือกได้ว่าจะคงสัดส่วนหน้าจอไว้ตามเดิม หรือเลือกขยายให้เต็มหน้าจอ ซึ่งแน่นอนว่าอาจทำให้ประสบการณ์ใช้งานแอปบางส่วนผิดเพี้ยนไป อย่าง Instagram ที่เมื่อปรับให้แสดงผลเต็มหน้าจอ อาจจะต้องเลื่อนเพื่อดูรูป และคอมเมนต์ เพิ่มเติม

ดังนั้น ผู้ที่เหมาะกับ Fold3 จึงกลายเป็นกลุ่มผู้ใช้งานที่มีเวลา อย่างผู้บริหารระดับสูง กลุ่มผู้สูงอายุ ที่ต้องการหน้าจอขนาดใหญ่ไม่แตกต่างจากแท็บเล็ตไว้ใช้งาน โดยเฉพาะสายที่นำไปใช้เพื่อการลงทุนอย่างหุ้น หรือใช้ติดตามข่าวสารตลอดเวลา

แน่นอนว่าด้วยระดับราคาของ Fold3 ที่เริ่มต้น 57,900 บาท ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับแฟลกชิปสมาร์ทโฟนในท้องตลาดระดับราคาราว 3 หมื่นบาท ทำให้ Fold3 กลายเป็นสมาร์ทโฟนจอพับที่มีกลุ่มผู้ใช้ที่พร้อมจ่ายเงินระดับนี้ เพื่อให้ได้ใช้งานนวัตกรรมกันอยู่แล้ว


กลับมาในส่วนของ Flip3 ถ้ามองถึงการปรับปรุงจาก Galaxy Z Flip รุ่นแรกมาเป็นรุ่นนี้ ถือว่าทางซัมซุง ได้ปรับปรุงได้อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะการรับฟังการใช้งานของผู้บริโภคและนำไปปรับใช้กับการพัฒนาออกมาเป็น Flip3 อย่างในส่วนของหน้าจอแสดงผลภายนอกที่ถือเป็นไฮไลท์หลักก็ว่าได้


เดิมหน้าจอแสดงผลภายนอกของ Flip3 จะมีขนาดอยู่ประมาณ 1.1 นิ้ว ซึ่งเอาไว้แสดงผลนาฬิกา สัญลักษณ์ว่ามีการแจ้งเตือน และใช้เป็นจอแสดงผลกล้องขนาดเล็กได้ พอมาเป็น Flip3 ได้นำจอ Super AMOLED ขนาด 1.9 นิ้วมาให้ใช้งานกันแทน และผู้ใช้สามารถเลือกเปลี่ยนรูป หรือออกแบบภาพมาใช้กับจอแสดงผลนี้ได้เอง ทำให้ถือเป็นสีสันเพิ่มเติมในการใช้งาน

ส่วนความสามารถของจอนอกนี้ ได้พัฒนาให้แสดงผลการแจ้งเตือนต่างๆ ได้ทันที และยังใช้ในการเข้าถึงวิตเจ็ตเพื่อควบคุมเครื่องบางส่วนได้ อย่างการแสดงผลปฏิทินนัดหมาย พยากรณ์อากาศ เครื่องมือควบคุมเพลง ทำให้เราสามารถเปิดเพลงพับหน้าจอก็ยังสามารถฟังเพลงต่อได้ แถมยังกดเปลี่ยนเพลงจากจอแสดงผลภายนอกได้ด้วย

นอกจากนี้ การทำงานของจอนอกร่วมกับกล้องยังหลากหลายขึ้น มาสามารถปัดเพื่อเปลี่ยนมุมกล้อง เปลี่ยนโหมดถ่ายภาพระหว่างภาพนิ่ง กับวิดีโอได้ทันที โดยไม่ต้องกางหน้าจอขึ้นมา ใครที่เป็นสายเซลฟี่ต้องชื่นชอบ เพราะได้คุณภาพรูปจากเลนส์หลักของเครื่องมาใช้งาน


อย่างไรก็ตาม ถ้าต้องการใช้งานอย่างอื่นนอกเหนือจากนี้ ก็จำเป็นต้องกางหน้าจอออกมา ซึ่งเมื่อกางแล้วจะได้จอ Dynamic AMOLED 2X ขนาด 6.7 นิ้ว ที่มีสัดส่วน 22:9 ค่อนไปทางสูงมากกว่ากว้าง ซึ่งถ้าใช้งานมือเดียว จะไม่สามารถเลื่อนนิ้วไปสัมผัสบริเวณแถบบนของหน้าจอได้อย่างแน่นอน


โดย Flip3 จะรองรับการใช้งานในลักษณะของ Flex Mode ได้อย่างน่าสนใจ ด้วยการแบ่งครึ่งหน้าจอส่วนบน และล่างเพื่อใช้งานในลักษณะของ Multi-Windows หรือใช้งานแอปเดียว แต่ให้แสดงผลหลักในครึ่งจอบน ครึ่งจอล่างใช้แสดงผลปุ่มควบคุมต่างๆ แทนเป็นต้น


ข้อดีอย่างหนึ่งของ Flex Mode ใน Flip3 คือสามารถใช้ในการบันทึกภาพนิ่ง และภาพวิดีโอได้ทั้งจากกล้องหน้า และกล้องหลัง แตกต่างจากบน Fold3 ที่ถ้าต้องการใช้งานกล้องหลังในการถ่ายภาพแบบ Flex Mode จะไม่สามารถใช้ประโยชน์ของจอด้านนอกได้ (นอกจากวางเครื่องแนวตั้งแทน)

จะเห็นได้ว่าทั้ง 2 รุ่น จะมีลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกัน ดังนั้น ใครที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนจอพับ อาจจะต้องย้อนมองกลับไปถึงรูปแบบการใช้งานของเราเองว่า ส่วนใหญ่ชอบใช้งานแบบไหน ถ้าต้องการเครื่องเดียวที่พกพาใช้งานได้หน้าจอขนาดใหญ่ Fold3 เป็นคำตอบ แต่ถ้าต้องการเครื่องเล็กพกพาง่าย กางจอออกมาได้ขนาดเท่ากับสมาร์ทโฟนทั่วไป Flip3 ตอบโจทย์ได้อย่างดี


กล้องคุณภาพ แต่ยังไม่สุด


สำหรับผู้ที่กำลังตัดสินใจว่าจะเลือกซื้อทั้ง 2 รุ่นนี้ แล้วคาดหวังว่ากล้องถ่ายภาพของทั้ง Fold3 | Flip3 จะอยู่ในระดับเดียวกับ Galaxy S21 Ultra ที่วางจำหน่ายในช่วงต้นปี อาจจะต้องยอมรับว่าทั้ง 2 รุ่นใหม่นี้ คุณภาพยังไม่ถึงระดับนั้น เนื่องจากเลนส์ที่ใช้งานจะเป็นแบบอัลตร้าพิกเซล 12 ล้านพิกเซลเท่านั้น ทำให้มีข้อจำกัดในแง่คุณภาพที่ได้


ประโยชน์อย่างหนึ่งของ Flex Mode ของทั้ง Fold3 และ Flip3 ทำให้เราสามารถวางสมาร์ทโฟนกับพื้นราบ เพื่อถ่ายภาพได้สะดวกขึ้น และทำให้ได้ภาพที่คมชัดมากขึ้นด้วย เมื่อเทียบกับการถ่ายภาพจากมือที่อาจจะมีการสั่นไหวในบางจังหวะ ส่วนการถ่ายวิดีโอทำได้ที่ 4K60fps ซึ่งก็ถือว่าเพียงพอกับการใช้งานอยู่แล้ว


แน่นอนว่าถ้าเทียบกับสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ ในตลาดกลุ่มแฟลกชิป กล้องหลักของทั้ง Fold3 และ Flip3 ถือว่า ให้คุณภาพที่เยี่ยมยอดแล้ว ยกเว้นกล้องหน้าด้านในจอพับของ Fold3 ที่ทางซัมซุง เลือกนำกล้องแบบ Under Display Camera ความละเอียด 4 ล้านพิกเซลมาใช้ เพราะกลายเป็นคุณภาพที่ได้ไม่แตกต่างจากกล้องเว็บแคมบนคอมพิวเตอร์ เหมาะกับการใช้งานเพื่อประชุมสาย หรือวิดีโอคอลเท่านั้น


กลับกันกล้องหน้าด้านนอกของ Fold3 และกล้องหน้าของ Flip3 ที่ให้มา 10 ล้านพิกเซล และรองรับการใช้เพื่อปลดล็อกด้วยใบหน้านั้น กลับทำหน้าที่ได้อย่างน่าประทับใจ ทั้งความรวดเร็วในการปลดล็อก และสีของภาพที่ได้ค่อนข้างสมจริง

ประสิทธิภาพ และแบตเตอรี

ทั้ง Fold3 และ Flip3 เลือกใช้งานชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 888 5G ซึ่งถือว่าเป็นชิปเซ็ตยอดนิยมสำหรับแฟลกชิป ทำให้มั่นใจได้ถึงคุณภาพในการประมวลผล ทำให้สามารถใช้งานได้ลื่นไหล ช่วยให้ตัวเครื่องรองรับการเชื่อมต่อ 5G


โดยในแง่ของระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี Fold3 ที่แม้จะมากับจอภายในขนาดใหญ่ถึง 7.6 นิ้ว และให้แบตเตอรีมี 4,400 mAh แต่ก็สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องเกือบ 10 ชั่วโมง ทำให้มั่นใจได้ว่า Fold3 จะอยู่กับการใช้งานไปได้ตลอดวัน แม้กางหน้าจอใช้ตลอดเวลา

ตัว Fold3 ยังมากับชาร์จเร็ว 25W ทำให้สามารถชาร์จแบตได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่ Flip3 มากับชาร์จเร็ว 15W และทั้ง 2 รุ่นรองรับการชาร์จไร้สายที่ 10W รวมถึงสามารถแชร์แบตเตอรีให้อุปกรณ์อื่นชาร์จ (Reverse Wireless Charge) ได้ด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ก็ใช้กับหูฟัง Galaxy Buds และ Galaxy Watch ที่รองรับการชาร์จไร้สาย

ขณะที่ Flip3 ที่ให้แบตเตอรีมา 3,300 mAh อาจจะถือว่าค่อนข้างน้อยสำหรับหน้าจอขนาด 6.7 นิ้ว แต่กลายเป็นว่าสามารถใช้งานได้ต่อเนื่องเกือบ 8 ชั่วโมง และในความเป็นจริง การใช้งาน Flip3 บางส่วนถูกแทนที่ด้วยหน้าจอด้านนอกที่คอยบอกการแจ้งเตือนต่างๆ อยู่แล้ว ซึ่งถ้าไม่ได้ต้องหยิบขึ้นมาใช้ ก็สามารถประหยัดแบตได้จากจอนอก


สรุป

ในภาพรวมของการใช้งานทั้ง 2 เครื่อง เรียกได้ว่ารองรับทุกแอปพลิเคชันอยู่แล้ว ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับลักษณะของการนำไปใช้งานมากกว่า อย่างที่กล่าวไปว่า Z Fold3 5G จะรองรับการใช้งาน MutiTasking ได้มากกว่า เพราะขนาดหน้าจอที่ใหญ่ แสดงผลได้เต็มตา ส่วน Z Flip3 5G ก็จะมีขนาดเล็กพกพาง่าย












กำลังโหลดความคิดเห็น