xs
xsm
sm
md
lg

Review : Samsung Galaxy Tab S7 FE มาพร้อม S Pen รับเรียนออนไลน์-ทำงาน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ในตลาดแท็บเล็ตสำหรับผู้ที่ชื่นชอบระบบปฏิบัติการ Android ปัจจุบันเริ่มมีตัวเลือกที่น่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มแท็บเล็ตประสิทธิภาพสูงที่ไม่ได้ถูกนำมาใช้เพื่อเข้าถึงความบันเทิง แต่ยังรองรับการใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ

Samsung Galaxy Tab S7 FE ถือเป็นอีกรุ่นน่าสนใจ ที่นำนิยามของ ‘Fan Edition’ มาตอบรับความต้องการของผู้ใช้งานที่ต้องการแท็บเล็ตจอขนาดใหญ่ 12.4 นิ้ว รองรับการใช้งาน S Pen แบตเตอรี่ใชงานได้ต่อเนื่อง

Tab S7 FE ยังมาพร้อมกับ Samsung DeX ให้ใช้งานแทนคอมพิวเตอร์ ด้วยการเชื่อมต่อกับคีย์บอร์ด และเมาส์ไร้สาย เพื่อทำงานได้ทันที เมื่อรวมกับการเชื่อมต่อภายในอีโคซิสเต็มกับสมาร์ทโฟน ช่วยให้ทั้งทำงาน และเรียนออนไลน์ผ่านแท็บเล็ตได้น่าสนใจ ในราคา 19,990 บาท

ข้อดี
- แท็บเล็ตจอใหญ่ 12.4 นิ้ว น้ำหนัก 608 กรัม
- แบตเตอรี่ใหญ่ 10,090 mAh รองรับชาร์จเร็ว 45W
- มาพร้อม S Pen ให้ใช้งาน
- รองรับ Samsung DeX

ข้อสังเกต
- เครื่องที่วางจำหน่ายในไทยมีเฉพาะรุ่น 4G LTE (ไม่นำรุ่น 5G เข้ามาขาย)
- RAM 4 GB ROM 64 GB
- Book Cover Keyboard ไม่สามารถปรับมุมมองได้

เจาะกลุ่มแท็บเล็ตสเปกดี ครบเครื่อง


กลุ่มตลาดแท็บเล็ตแอนดรอยด์ ในปัจจุบันที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจะอยู่ในช่วงระดับราคาต่ำกว่าหมื่นบาท หรือช่วงหมื่นต้นๆ ในขณะที่รุ่นพรีเมียมหลัก 3 หมื่นบาท จะเป็นตัวเลือกให้ผู้ที่มีกำลังซื้อเท่านั้น

กลายเป็นว่าช่องว่างในช่วงราคาต่ำกว่า 20,000 บาท ได้กลายเป็นอีกกลุ่มที่มีอัตราการเติบโตค่อนข้างสูง โดยเฉพาะในช่วงที่หลายคนต้อง Work from Home จนถึงกลุ่ม Learn from Home ทำให้หลายๆ แบรนด์เริ่มหันมาเจาะตลาดแท็บเล็ตที่มี iPad Air ครองอยู่


Samsung Galaxy Tab S7 FE ถือเป็นรุ่นที่ปรับปรุงให้เหมาะสมกับการใช้งาน ลดสเปกบางส่วนลงมาจาก Tab S7+ ที่เป็นรุ่นท็อป ด้วยการตัดบางฟีเจอร์ออก เพื่อทำระดับราคาให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น แต่ยังคงตอบโจทย์การใช้งานแท็บเล็ตในปัจจุบันนี้

จุดเด่นหลักของ Galaxy Tab S7 FE คงหนีไม่พ้นขนาดตัวเครื่องที่แม้จะให้จอใหญ่ถึง 12.4 นิ้ว WQXGA (2560 x 1600 พิกเซล) ในขนาดตัวเครื่อง 185 x 284.8 x 6.3 มิลลิเมตร แต่ทำน้ำหนักมาได้น่าสนใจที่ประมาณ 608 กรัม เท่านั้น เมื่อเทียบกับรุ่นที่ใกล้เคียงกันอย่าง Matepad Pro 12.6 จะอยู่ที่ 609 กรัม และ iPad Pro 12.9 อยู่ที่ 643 กรัม


ดีไซน์ตัวเครื่องมีการปรับปรุงให้ทันสมัยมากขึ้นด้วยดีไซน์แบบเรียบง่าย อย่างการนำตัวเครื่องขอบเหลี่ยมมาใช้งาน ทำให้ตัวเครื่องบาง จับถือได้สะดวก และมีสีสันให้เลือกถึง 4 สี คือ ดำ (Mystic Black) เงิน (Mystic Silver) เขียว (Mystic Green) และชมพู (Mystic Pink)




รอบตัวเครื่องกรณีที่ถือใช้งานในแนวนอน จะมีปุ่มเปิดเครื่องอยู่ทางซ้ายบน ตามด้วยปุ่มปรับระดับเสียง ตรงกลางเป็นไมโครโฟนรับเสียงเพิ่มเติม และช่องใส่ถาดซิมการ์ด กับไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มเติม


ทางซ้าย และขวาจะเป็นช่องลำโพงที่ปรับแต่งเสียงโดยน AKG ในรูปแบบสเตอริโอ มาตรฐาน Dolby Atmos ทำให้ได้เสียงรอบทิศทาง โดยทางขวาจะมีพอร์ต USB-C ที่เป็น USB 3.2 รองรับทั้งการชาร์จ เชื่อมต่อจอมอนิเตอร์ และอุปกรณ์เสริมต่างๆ


ส่วนล่างเครื่องจะพินคอนเนกเตอร์ และแถบแม่เหล็กไว้ในกรณีที่วางเชื่อมต่อกับคีย์บอร์ด Book Cover ให้สามารถใช้งานได้ทันที และเชื่อมต่อได้แข็งแรงด้วย โดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับบลูทูธแยกออกไป


กล้องที่ให้มาจะมีทั้งกล้องหน้า ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล จัดวางไว้ตรงกึ่งกลางจอเวลาในงานในแนวนอน ทำให้รองรับการประชุมสนทนาไปพร้อมๆ กับการถือใช้งานได้ทันที ไม่ต้องกังวลว่ามือจะไปบังเลนส์กล้อง ส่วนกล้องหลังความละเอียด 8 ล้านพิกเซล และมีไมโครโฟนรับเสียงเพิ่มเติมอยู่ข้างๆ


สำหรับปากกา S Pen ที่ให้มาจะมีขนาดที่พอดีกับการจับถือ รองรับแรงกด 4,096 ระดับ สามารถทำงานร่วมกับ Tab S7 FE ได้ทันที โดยไม่ต้องชาร์จแบตเตอรี่ หัวปากกามีขนาด 0.7 และมีปุ่มให้สั่งงาน สลับปากการะหว่างใช้งานได้ทันที แลกกับไม่รองรับการสั่งงานอย่าง Air Command


การเก็บปากกา S Pen สามารถทำได้หลากหลาย โดยที่มาตรฐานคือการแปะด้านหลังเครื่องขนาดไปกับกล้อง หรือจะเลือกแปะเข้าไปที่ขอบเครื่องด้านบน และล่างในแนวนอนก็ได้เช่นกัน ส่วนถ้าใช้คีย์บอร์ด Book Cover จะมีช่องเก็บพร้อมแถบแม่เหล็กให้ไม่ร่วงหล่นแน่นอน

ภายในแท็บเล็ตมากับแบตเตอรี่ขนาด 10,090 mAh โดยตัวเครื่องรองรับการชาร์จเร็ว 45W แต่อะแดปเตอร์ที่ให้มาภายในกล่องรองรับการชาร์จเร็วที่ 15W เท่านั้น นอกจากนี้ ยังมี S Pen มาให้ใช้งานร่วมด้วย


ส่วนสเปกของ Samsung Galaxy Tab S7 FE จะมากับชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 750G Octa-Core 2.2 GHz RAM 4 GB พื้นที่เก็บข้อมูลในตัวเครื่อง 64 GB รองรับ MicroSD เพิ่มสูงสุด 1 TB

การเชื่อมต่อรองรับ 4G LTE / WiFi 5 / บลูทูธ 5.0 ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 11 ที่ครอบด้วย One UI 3.1 ที่น่าเสียดายอีกจุดคือไม่มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือมาให้ใช้ปลดล็อก รองรับเพียงการใส่รหัส และปลดล็อกด้วยใบหน้าเท่านั้น

เพิ่มประสบการณ์ใช้งานด้วย One UI 3.1


การใช้งาน Samsung Galaxy Tab S7 FE นั้น จะแบ่งออกเป็นหลักๆ ด้วยกัน 2 โหมด คือใช้งานเป็นแท็บเล็ตในการแสดงผลแบบพื้นฐานของ One UI 3.1 ที่ครอบคลงบน Android 11 ซึ่งผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนซัมซุง ส่วนใหญ่จะคุ้นชินกันอยู่แล้ว


สิ่งที่เพิ่มเข้ามา และได้ใช้งานแน่ๆ ร่วมกับจอขนาดใหญ่ของ Tab S7 FE ก็คือการใช้งาน Multi-Active Windows หรือการเปิดใช้งานหลายหน้าต่างพร้อมกัน โดย Tab S7 FE นอกจากจับคู่แอปที่ใช้งานบ่อยๆ แล้วยังสามารถเพิ่มเป็น 3 หน้าต่างเพื่อใช้งานพร้อมกันได้ด้วย


รูปแบบการใช้งานที่น่าสนใจก็จะมีทั้งการที่ใช้งานวิดีโอคอลล์ ร่วมกับโปรแกรมจดบันทึกอย่าง Samsung Note หรือใช้งาน Note ร่วมกับหน้าเว็บเบราว์เซอร์เพื่อหาข้อมูลไปด้วย จนถึงการเปิด Ref. วิดีโอจาก YouTube ก็สามารถทำพร้อมๆ กันได้

ส่วนถ้าใครเป็นสายโซเชียลก็สามารถเล่น Facebook Twitter Instagram ไปพร้อมๆ กับการเปิดหน้าเว็บไซต์ หรือชมวิดีโอสตรีมมิ่งได้ ซึ่งปัจจุบันแอปพลิเคชันส่วนใหญ่รองรับการทำงานแบบ Multi Windows อยู่แล้วจึงไม่มีปัญหาในการแสดงผล


อีกรูปแบบที่แนะนำให้ใช้งานกันบน Samsung Galaxy Tab S7 FE คือ DeX Mode ที่จะเปลี่ยนแท็บเล็ตที่คุ้นเคยให้มีความเป็นคอมพิวเตอร์มากขึ้น ในจุดนี้เราสามารถนำแท็บเล็ตไปต่อจอมอนิเตอร์ หรือเมาส์ เพื่อใช้งานร่วมกับคีย์บอร์ดได้ด้วย

โดยเฉพาะเมื่อใช้งานร่วมกับ Book Cover Keyboard และเชื่อมต่อเมาส์บลูทูธ ทำให้แท็บเล็ตรุ่นนี้เหมือนใช้งานโน้ตบุ๊กเลยก็ว่าได้ การทำงานบน DeX Mode นั้น รองรับการใช้งาน Google Docs ทั้งหลายอยู่แล้ว หรือจะใช้แก้งานเอกสารจาก Microsoft 365 ก็ได้เช่นเดียวกัน


แบตเตอรี่ของ Tab S7 FE ที่ให้มาถึง 10,090 mAh นั้น ถือว่ารองรับการใช้งานต่อเนื่องได้สบายๆ โดยทางซัมซุง ระบุว่า สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องราว 13 ชั่วโมง ทีมงานทดสอบใช้งานจาก 100% เหลือประมาณ 20% สามารถใช้งานได้ถึง 11.40 ชั่วโมง นั่นแปลว่า ถ้าใช้จนแบตฯ หมดก็ไม่ต่ำกว่า 13 ชั่วโมงแน่นอน


ในแง่ของการใช้งานเพื่อความบันเทิง จากลำโพงที่รองรับ Dolby Atmos ทำให้ Samsung Galaxy Tab S7 FE สามารถใช้งานแอปสตรีมมิ่งได้เป็นอย่างดี ทั้ง Netflix DIsney+ hotstar เรียกได้ว่า ได้ทั้งความบันเทิง และทำงานในเครื่องเดียว

ส่วนการเล่นเกม Snapdragon 750G ที่ให้มา ก็รองรับการเล่นเกมอยู่ในระดับหนึ่ง เพียงแต่อาจจะไม่สามารถเปิดกราฟิกสุด และเล่นได้อย่างลื่นไหล แต่เชื่อว่าถ้าเป็นเกมทั่วๆ ไป Tab S7 FE รองรับแน่นอน

เติบเต็มอีโคซิสเต็ม

ความน่าสนใจเพิ่มเติมสำหรับผู้ที่ใช้งานสมาร์ทโฟน Galaxy อยู่แล้ว ก็คือใน Tab S7 FE จะมีแอปพลิเคชัน Samsung Flow ที่เมื่อเชื่อมต่อมือถือเข้ากับแท็บเล็ตเรียบร้อยแล้ว ผู้ใช้จะสามารถโยนไฟล์ ข้อความต่างๆ ระหว่างกันผ่าน Flow ได้ทันที

รวมถึงการเรียกให้หน้าจอมือถือไปแสดงอยู่บนแท็บเล็ต ทำให้เวลาทำงานไม่จำเป็นต้องคอยหยิบมือถือขึ้นมาดูการแจ้งเตือน หรือแม้แต่เมื่อมีสายเรียกเข้าก็สามารถกดรับผ่านทางแท็บเล็ตได้ทันที

แน่นอนว่า ไม่ใช่เฉพาะเมื่อเชื่อมต่อ Samsung Flow เท่านั้นที่สามารถทำให้การใช้งานระหว่างอุปกรณ์ไร้รอยต่อ เพราะเมื่อล็อกอินด้วย Samsung ID เดียวกันทั้งบนสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต นาฬิกา และ IoT อื่นๆ ผู้ใช้งานจะสามารถเชื่อมต่อ และควบคุมอุปกรณ์ภายในอีโคซิสเต็มได้ด้วย

โดยเฉพาะในเวลานี้ใช้งานหูฟังบลูทูธ​ กรณีที่เปิดใช้งานในสมาร์ทโฟนอยู่ แล้วต้องการสลับมาใช้งานร่วมกับแท็บเล็ต ในกรณีที่เคยเชื่อมต่อทั้ง 2 อุปกรณ์เข้ากับหูฟังแล้ว ตัวหูฟังจะทำการสลับการเชื่อมต่อให้อัตโนมัติช่วยให้การใช้งานทำได้ลื่นไหลมากที่สุด

สรุป


ในแง่ของการใช้งาน ต้องยอมรับว่า Galaxy Tab S7 FE ให้สเปกมาเพียงพอกับการใช้ทำงาน เรียนออนไลน์ และเพื่อความบันเทิงได้อย่างครบถ้วน โดยเฉพาะการที่รองรับ S Pen และแถมมาให้ในกล่องไม่ต้องซื้อเพิ่ม

แต่ในอีกมุมการปรับลดสเปกจาก S7+ ที่ใช้ชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 865+ ลงมาเป็น Snapdragon 750G ก็ทำให้ประสิทธิภาพบางส่วนลดลง ซึ่งผิดกับซีรีส์ของ Fan Edition ที่ออกมาก่อนหน้านี้ จะเน้นเรื่องประสิทธิภาพ ฟีเจอร์ให้คุ้มค่า ตรงกับความต้องการ

อีกจุดที่น่าเสียดายก็จะมีอย่างหน้าจอยังไม่รองรับ Refresh Rate ที่ 120 Hz ทำให้เวลาสลับใช้งานระหว่างสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆ มาใช้ S7 FE ก็อาจจะรู้สึกถึงความต่าง เช่นเดียวกับการออกแบบคีย์บอร์ด Book Cover ที่ให้วางได้องศาเดียว ทำให้ไม่สะดวกเวลาใช้งานนอกสถานที่เท่าไหร่


อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบราคา 19,990 บาท ได้แท็บเล็ตที่สามารถใส่ซิมรองรับ 4G LTE ก็ถือว่าคุ้มค่า เพราะถ้าไปมอง iPad Air รุ่น Cellular ราคาเริ่มต้นก็ไปอยู่ที่ 24,990 บาทแล้ว ถ้าต้องการใช้ Apple Pencil (2nd Gen) ก็ต้องซื้อเพิ่มอีก 4,490 บาท กลายเป็นราคารวมๆ เกือบ 30,000 บาท


กำลังโหลดความคิดเห็น