ซัมซุง (Samsung) เร่งจังหวะชิงตลาดสมาร์ทโฟน 5G ระดับแฟลกชิปช่วงต้นปี ด้วยการเปิดตัว Samsung Galaxy S21 / S21+ และ S21 Ultra ทุกรุ่นรองรับ 5G กล้องพัฒนาขึ้น พร้อมเดินเกมรักษ์โลกไม่แถมอะแดปเตอร์ รุ่นใหญ่ใช้งาน S Pen ได้
นอกเหนือจาก Samsung Galaxy S21 ทั้ง 3 รุ่นแล้ว ซัมซุงยังได้เปิดตัวหูฟัง Samsung Galaxy Buds Pro ซึ่งมีการพัฒนาระบบตัดเสียง และเปิดรับเสียงภายนอกอัตโนมัติ และนำความสามารถของ Ultra-Wideband มาใช้กับ Samsung SmartTag ด้วย
อัปเดตราคา - สำหรับ Samsung Galaxy S21 จะเปิดราคาจำหน่ายในไทยอย่างเป็นทางการในวันที่ 15 มกราคมนี้ และเริ่มทยอยส่งมอบเครื่องให้ลูกค้าที่สั่งจองล่วงหน้าในวันที่ 18 มกราคม ก่อนเริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 27 มกราคม 2564
ปรับดีไซน์ใหม่ มีทั้งจอแบน และจอโค้ง
ในภาพรวมของ Samsung Galaxy S21 ซีรีส์ จะแบ่งเครื่องออกเป็น 2 กลุ่มหลักๆ คือ ระดับแฟลกชิปคือ Samsung Galaxy S21 และ S21+ ที่จะมีความแตกต่างกันในเรื่องของขนาดหน้าจอ แบตเตอรี่เป็นหลัก ในขณะที่ Galaxy S21 Ultra จะขยับขึ้นไปเป็นกลุ่มพรีเมียมแฟลกชิป ที่ต้องการความเป็นที่สุดในทุกด้าน
รายละเอียดพื้นฐานของ Samsung Galaxy S21 จะมากับหน้าจอขนาด 6.2 นิ้ว ในขณะที่ S21+ จะขยับเพิ่มเป็น 6.7 นิ้ว บนความละเอียด FullHD+ Dynamic AMOLED 2X ที่จะคอยปรับอัตราการแสดงผล (Refresh Rate แบบอัตโนมัติตั้งแต่ 48-120 Hz) ให้ความสว่างหน้าจอ 1,200 nit และเร่งขึ้นไปได้สุดที่ 1,400 nit ทั้ง 2 รุ่นนี้จะเลือกใช้งานจอแบบแบน
ในขณะที่ S21 Ultra ยังคงใช้จอโค้ง พร้อมเพิ่มขนาดหน้าจอเป็น 6.8 นิ้ว ความละเอียดเพิ่มขึ้นเป็น WQHD+ Dynamic AMOLED 2X เช่นกัน แต่จะปรับอัตราการแสดงผลได้ละเอียดกว่าที่ 10-120 Hz ให้ความสว่างหน้าจอสูงสุด 1,500 nit ซึ่งถือว่าดีขึ้นกว่า S20 ที่สูงสุด 1,200 nit
สำหรับระบบรักษาความปลอดภัย S21 ทั้ง 3 รุ่นยังมาพร้อมกับเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอแบบ Ultrasonic ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิมถึง 1.7 เท่า ช่วยให้ปลดล็อกตัวเครื่องด้วยลายนิ้วมือได้สะดวกขึ้น
ตามด้วยในส่วนของกล้องที่ S21 และ S21+ จะใช้งานกล้องหลัง 3 เลนส์ ประกอบด้วยเลนส์มุมกว้าง (Ultra Wide) 12 ล้านพิกเซล Wide 12 ล้านพิกเซล และ Tele 64 ล้านพิกเซล ทำให้สามารถซูมภาพได้สูงสุด 30 เท่า ส่วนกล้องหน้าความละเอียด 10 ล้านพิกเซล
ส่วน S21 Ultra จะมากับชุดกล้องที่เหนือกว่า คือ เลนส์หลัก 4 เลนส์ ประกอบด้วยเลนส์มุมกว้าง 12 ล้านพิกเซล Wide 108 ล้านพิกเซล Tele 10 ล้านพิกเซล ซูม 10 เท่า และ Tele 10 ล้านพิกเซล ซูม 3 เท่า และเลเซอร์โฟกัสมาช่วย ทำให้สามารถทำ Space Zoom ที่ 100 เท่าได้ และกล้องหน้าอยู่ที่ 40 ล้านพิกเซล
ในจุดนี้ถือเป็นการปรับปรุงการออกแบบกล้องของซัมซุงใหม่ได้อย่างน่าสนใจ และมีความแตกต่างจากรุ่นอื่นๆ ในท้องตลาด ด้วยการจัดเรียงกล้องเป็นแนวตรงลงมา และเล่นสีกับขอบของชุดเลนส์กล้องไปในตัว
แบตเตอรี่ของ S21 จะอยู่ที่ 4,000 mAh S21+ อยู่ที่ 4,800 mAh และ S21 Ultra อยู่ที่ 5,000 mAh มาพร้อมระบบ Super FastCharging แต่ทางซัมซุงไม่มีการแถมอะแดปเตอร์ และหูฟังมาให้ในกล่องแล้ว ให้มาเพียงสาย USB-C เท่านั้น
ในจุดนี้ ทางซัมซุงให้เหตุผลว่า ปัจจุบันที่ชาร์จ USB-C ของซัมซุงถือเป็นอะแดปเตอร์มาตรฐานที่ใช้งานมาตั้งแต่ปี 2017 แล้ว ดังนั้น ผู้ที่ใช้งานสมาร์ทโฟนรุ่นหลังๆ ของซัมซุงจะมีอะแดปเตอร์อยู่แล้ว และจะช่วยลดโลกร้อนไปในตัวด้วย
รองรับ 5G ด้วย Exynos 2100
สำหรับสเปกภายในของ Samsung Galaxy S21 ทั้ง 3 รุ่น จะมาพร้อมกับชิปเซต Exynos 2100 ที่เป็น Octa-Core ซึ่งซัมซุงเพิ่งเปิดตัวไปเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา บนสถาปัตยกรรมแบบ 5 นาโนเมตร ที่การประมวลผลเร็วกว่ารุ่นก่อนหน้า 20% การประมวลผลภาพเร็วกว่า 35% และการประมวลผล AI เร็วขึ้นถึง 2 เท่า
ภายในชิปเซตของ Exynos ยังมาพร้อมกับโมเด็ม 5G ด้วย ทำให้ Samsung Galaxy S21 ทั้ง 3 รุ่น รองรับการใช้งาน 5G ทั้งหมด และเมื่อทำงานร่วมกับ AI ที่จะช่วยประหยัดแบตเตอรี่ ช่วยให้ใช้งานได้ยาวนานกว่าเดิมด้วย
นอกเหนือจาก 5G ในรุ่น S21+ และ S21 Ultra ยังมาพร้อมกับการเชื่อมต่อ Ultra Wideband เพิ่มเข้ามา ทำให้รองรับการใช้งานเป็นกุญแจอิเล็กทรอนิกส์ในอนาคต รวมถึงทำงานร่วมกับ Smart Tag+ เพื่อใช้ในการค้นหาสิ่งของด้วย
ที่สำคัญก็คือ ใน S21 Ultra ยังมีเพิ่มการเชื่อมต่อ WiFi 6E ที่เป็นมาตรฐานใหม่ในการใช้งานเครือข่ายไวไฟให้ได้ประสิทธิภาพสูงขึ้นมาใช้งาน ส่วน S21 และ S21+ จะทำงานบน WiFi 6
S21 Ultra รองรับ S Pen
อีกหนึ่งความพิเศษที่เพิ่มขึ้นมาของ Samsung Galaxy S21 Ultra นั้น รองรับการทำงานร่วมกับ S Pen โดยผู้ใช้สามารถนำ S Pen ของ Galaxy Tab S7 มาใช้งานได้ทันที ซึ่งปัจจุบันซัมซุงวางจำหน่ายอยู่ที่ 2,290 บาท
ด้วยการที่ S Pen ของ Tab S7 ไม่ได้ต้องใช้พลังงานในการเชื่อมต่อ เพราะทางซัมซุง ทำงานร่วมกับ Wacom ในการพัฒนาระบบการเขียนบนหน้าจอ ทำให้ใช้งานร่วมกันได้ทันที หรือใครที่มี S Pen ของ Galaxy Note อยู่ก็สามารถนำมาใช้งานได้เช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่ S21 Ultra ไม่ได้มีช่องชาร์จ S Pen เหมือนใน Galaxy Note การใช้งานร่วมกับ S Pen จาก Tab S7 ก็จะขาดฟีเจอร์ในการสั่งงานแบบ Air Actions ที่เป็นการเชื่อมต่อกับบลูทูธออกไป กลายเป็นยังเก็บการทำงานของ S Pen ที่สมบูรณ์ไว้กับ Galaxy Note ต่อไป
นอกจากนี้ เมื่อตัวเครื่องไม่มีที่เก็บปากกา ทำให้ทาง Samsung มีการออกเคสพิเศษเพิ่มขึ้นมา ทั้งแบบที่มีช่องเก็บปากกาข้างตัวเครื่อง และแบบฝาพับที่เก็บปากกาไว้ภายใน ช่วยให้การใช้งาน S21 Ultra ร่วมกับ S Pen ทำได้ง่ายขึ้น
เพิ่มฟีเจอร์กล้องให้น่าใช้งานมากขึ้น
สำหรับการปรับปรุงโหมดในการถ่ายภาพนั้น S21 ทั้ง 3 รุ่นจะมีโหมดในการถ่ายภาพใหม่เหมือนกัน เพียงแต่ว่าใน S21 Ultra จะได้เพิ่มขึ้นมาในส่วนของ Space Zoom 100 เท่า และรองรับการถ่ายภาพแบบ 12bit HDR เพิ่มขึ้นมาจากการใช้เลนส์ 108 ล้านพิกเซล
เบื้องหลังของการทำ Space Zoom 100 เท่า ใน S21 Ultra เกิดจากการนำเทคโนโลยีเลนส์ซูมคู่ (Dual-Tele zoom lenses) มาใช้งาน ทำให้ผสมผสานระยะซูมระหว่าง 3 เท่า และ 10 เท่า เข้าด้วยกันออกมาเป็น 100 เท่า ที่พัฒนาขึ้นจาก S20 Ultra อย่างเห็นได้ชัด
นอกจากนี้ ในการถ่ายแบบ Space Zoom ทั้งระยะ 30 เท่า จนถึง 100 เท่า จะมีการเพิ่มโหมด Zoom Lock ขึ้นมา ด้วยการนำ AI มาช่วยจับวัตถุในการโฟกัสเมื่อซูมภาพระยะไกล ช่วยลดการสั่นไหวของภาพลงด้วย
ในส่วนของการถ่ายวิดีโอทั้ง 3 รุ่นรองรับการถ่าย 8K Video ทุกรุ่น แต่ใน S21 และ S21+ จะสามารถบันทึกวิดีโอ 4K 60 fps ได้เฉพาะเลนส์หลักเท่านั้น ในขณะที่ S21 Ultra จะบันทึกได้ทุกเลนส์
โดยฟีเจอร์ที่ถูกพัฒนาขึ้นใน S21 ซีรีส์ จะมีทั้ง Single Take 2.0 การถ่ายวิดีโอความละเอียดสูง และใช้ AI ประมวลผลช็อตที่ดีที่สุด พร้อมทำเป็นวิดีโอสโลว์โมชันออกมาพร้อมให้แชร์ไปยังโซเชียลมีเดียได้ทันที รวมถึงการถ่าย 8K Video แล้ว Snap ออกมาเป็นภาพนิ่ง
เพิ่มโหมดการถ่ายภาพแบบ Director’s View หรือโหมดผู้กำกับ ที่เวลาถ่ายภาพจะเลือกได้ว่าจะบันทึกทั้งภาพจากกล้องเลนส์ไหน หรือเลือกบันทึกหน้าหลังพร้อมกัน ที่สำคัญคือในโหมดนี้ผู้ใช้สามารถดูระยะเลนส์ได้ล่วงหน้าก่อนกดเปลี่ยนเลนส์ เพื่อให้ได้ภาพวิดีโอในมุมที่ดีที่สุดด้วย
ส่วนการบันทึกเสียงจากเดิมในแฟลกชิปรุ่นปีที่ผ่านมา จะรองรับการใช้งานคู่กับไมโครโฟนบลูทูธ เพื่อเก็บเสียงจากระยะไกลได้ ใน S21 ซีรีส์ ได้เพิ่มโหมดการบันทึกเสียงคู่ (Multi Mic Recording) เข้ามา ทำให้สามารถเลือกรับเสียงหลักจาก Galaxy Buds ผ่านบลูทูธ และเปิดรับเสียงบรรยากาศจากไมค์ที่ตัวเครื่องได้ด้วย
Samsung Galaxy Buds Pro หูฟังไร้สายตัดเสียงรบกวนอัตโนมัติ
นอกเหนือจาก S21 ซีรีส์ ซัมซุง ได้เปิดตัว Samsung Galaxy Buds Pro ที่นำดีไซน์ของ Galaxy Buds Live และ Galaxy Buds+ มาผสมผสานกัน ออกมาเป็นหูฟังบลูทูธไร้สายแบบ In-Ears ที่ช่วยเพิ่มความสามารถในการตัดเสียงรบกวนมากยิ่งขึ้น
จุดเด่นของ Galaxy Buds Pro คือสามารถตัดเสียงรบกวนจากภายนอกได้ถึง 99% พร้อมฟีเจอร์ในการสลับโหมดใช้งานอัตโนมัติระหว่างโหมดตัดเสียงรบกวน Active Noise Cancelling และโหมดรับฟังเสียงรอบข้าง Ambient Mode
เพียงแค่ผู้ใช้งานเปล่งเสียงพูดออกมา ตัว Buds Pro จะตรวจจับได้ว่าผู้ใช้งานกำลังสนทนาอยู่ ก็จะเปิดโหมดฟังเสียงรอบข้าง และหยุดเล่นเพลงอัตโนมัติ และเมื่อยุติการสนทนาก็จะกลับมาเปิดโหมดตัดเสียง และเล่นเพลงต่อเนื่อง
Galaxy Buds Pro สามารถใช้งานต่อเนื่องได้ 18 ชั่วโมง รวมการชาร์จจากเคส และสามารถชาร์จ 5 นาที เพื่อใช้งานต่อเนื่องราว 1 ชั่วโมง พร้อมรองรับการสลับอุปกรณ์ในตระกูล Galaxy แบบอัตโนมัติด้วย
สี และรุ่นที่วางจำหน่ายในประเทศไทย
Samsung Galaxy S21 วางจำหน่ายด้วยกันทั้งหมด 3 สี คือ Phantom Gray Phantom Pink และ Phantom Violet ส่วน S21+ วางจำหน่าย 3 สี คือ Phantom Black Phantom Silver และ Phantom Violet ในรุ่น RAM 8 GB ROM 128/256 GB
ขณะที่ Samsung Galaxy S21 Ultra จะมีให้เลือก 2 สีคือ Phantom Black และ Phantom Silver ในรุ่น RAM 12 GB ROM 128/256 GB และ RAM 16 GB ROM 512 GB
ทั้งนี้ ราคาเปิดตัวในต่างประเทศของ Samsung Galaxy S21 เริ่มต้นที่ 799 เหรียญ S21+ เริ่มต้นที่ 999 เหรียญ และ S21 Ultra เริ่มต้นที่ 1,199 เหรียญ ส่วน Galaxy Buds Pro อยู่ที่ 199 เหรียญ และ Smart Tag เริ่มต้นที่ 29.99 เหรียญ
ส่วน Galaxy Buds Pro เข้ามาจำหน่ายในไทย 2 สี คือ เงิน และ ดำ ซึ่งคาดว่าทางซัมซุง จะมีการทำโปรโมชันแถม Galaxy Buds Pro ให้ผู้ที่สั่งจองล็อตแรกๆ อีกด้วย นอกเหนือจากโปรโมชันนำกล้องดิจิทัลมาแลกซื้อในราคา 21 บาท