การมาของ Samsung Galaxy Note 5 ในครั้งนี้ ถือว่าทางซัมซุงทำการเซอร์ไพรส์หลายๆอย่างด้วยกัน ตั้งแต่วันวางจำหน่ายที่จะพร้อมจำหน่ายกันใน 1 สัปดาห์หลังเปิดตัว ขณะที่ในมุมของสื่อมวลชน ทางซัมซุงก็มีเครื่องมาให้สัมผัสกันพร้อมกับการเปิดตัวเลยทีเดียว
ดังนั้น ภาพเดิมๆที่เคยเห็นการเปิดตัวในต่างประเทศ และต้องรอสินค้าเข้ามาจำหน่ายอย่างต่ำประมาณ 1 เดือนจึงหายไป และกลายมาเป็นการวางจำหน่ายในประเทศไทย พร้อมกับประเทศมหาอำนาจอื่นๆในโลกด้วย
1.การดีไซน์ตัวเครื่องแบบใหม่
ด้วยแนวคิดการออกแบบ 'Curve back design’ ทำให้ Galaxy Note 5 มีความโค้งบริเวณขอบหลังเครื่อง คล้ายคลึงกับหน้าจอโค้งใน S6 Edge เพียงแต่จุดที่โค้งเป็นอะลูมิเนียมแทน โดยซัมซุงพยายามชูว่าการจับถือด้วยดีไซน์เครื่องแบบนี้ จะช่วยให้สามารถถือใช้งานด้วยมือข้างเดียวง่ายขึ้น
แต่อย่างไรก็ตามด้วยการที่ซัมซุง หันมาใช้วัสดุที่เป็นอะลูมิเนียมเคลือบผิวเงา ทำให้เวลาจับใช้งานแล้วจะพบคราบรอยนิ้วมือเต็มตัวเครื่องทั้งส่วนหน้าจอ และหลังเครื่อง ในจุดนี้คงต้องพึ่งพาการใส่เคสหุ้ม หรือพกผ้าเช็ดติดมือไปก่อน
2.หน้าจอเท่าเดิม แต่เครื่องเล็กลง
อีกจุดที่น่าสนใจคือเรื่องของขนาดหน้าจอ Super AMOLED ที่ยังไงรักษาขนาดไว้ที่ 5.7 นิ้ว เพิ่มความละเอียดขึ้นมาเป็น QuadHD เช่นเดียวกับใน Galaxy S6 ที่สำคัญคือแม้ว่าจะคงขนาดหน้าจอเท่าเดิม แต่ขนาดของตัวเครื่องกลับมาขนาดเล็กลงจาก Note 4 ที่ 78.6 มิลลิเมตร เหลือ 76.1 มิลลิมเตร และบางลงจาก 8.5 มิลลิเมตร เหลือ 7.6 มิลลิเมตร
อย่างไรก็ตาม จุดที่น่าเสียดายอีกอย่างก็คือ การที่เปลี่ยนรูปแบบการออกแบบใหม่ ทำให้ Note 5 ไม่สามารถถอดฝาหลังเพื่อเปลี่ยนแบตเตอรีได้เหมือนเดิม เช่นเดียวกับการที่ไม่มีช่องสำหรับใส่ไมโครเอสดีการ์ดเพิ่ม ทำให้ผู้ใช้ต้องเลือกระหว่างจะเลือกซื้อเครื่องที่มีขนาด 32 GB หรือ 64 GB เท่านั้น
3.คงคุณภาพสุดยอดกล้องมือถือ
ในแง่ของการถ่ายภาพซัมซุง ทำการบ้านมาได้ดีตั้งแต่สมัย Note 4 ไล่มาจนถึง S6 แล้ว ดังนั้นใน Note 5 ก็เช่นเดียวกัน ที่ยังสามารถรักษาคุณภาพของกล้องถ่ายภาพไว้ได้ โดยในรุ่นนี้ใส่กล้องความละเอียด 16 ล้านพิกเซลมาพร้อมระบบกันสั่น OIS และไฟแฟลข LED เช่นเดิม โดยสามารถบันทึกวิดีโอที่ความละเอียด 4K ได้ด้วย
ส่วนสิ่งที่น่าสนใจในแง่ของโหมดกล้องเลยคือการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ อย่างการบันทึกภาพไฟล์ RAW ในโหมดโปร เพื่อเปิดโอกาสให้สามารถนำภาพไปแต่งต่อได้ง่ายๆ ไม่จำเป็นต้องดาวน์โหลดแอปอื่นมาใช้ความสามารถของแอนดรอยด์ 5.0
นอกจากนี้ ก็จะมีโหมดถ่ายภาพวิดีโอที่น่าสนใจคือ สามารถ Live Broadcast วิดีโอที่ถ่ายผ่านระบบอินเทอร์เน็ตไปให้ผู้รับได้ทันที โดยสามารถเลือกรายชื่อผู้ที่จะสามารถเข้าชมวิดีโอได้ เพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัวมากยิ่งขึ้น
ตัวอย่างภาพจาก Note 5
4.เพิ่มขีดความสามารถ S-Pen
แน่นอนว่าผู้ที่ซื้อ Galaxy Note ใช้งานส่วนใหญ่จะติดใจกับความสามารถของปากกา S-Pen เริ่มกันจากระบบการปลดปากกาที่ใช้การกดเข้าไปในตัวเครื่อง เพื่อให้ปากกาเด้งออกมา เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งานมากขึ้น
ถัดมาก็คือควมสามารถของ Air Command ที่มีการออกแบบใหม่ให้ดูแล้วใช้งานง่ายขึ้น รวมถึงสามารถเลือกแอปที่ใช้งานบ่อยๆ มาเพิ่มไว้ตรงส่วนนี้ได้
รวมกับการจับภาพหน้าจอรูปแบบใหม่ที่สามารถเลื่อนหน้าจอจับภาพได้เรื่อยๆ ส่งผลให้สามารถจับภาพหน้าจอเว็บไซต์ที่มีขนาดยาวๆได้ในทีเดียว เช่นเดียวกับในแง่ของความแม่นยำ และการใช้งานที่ซัมซุงพยายามนำข้อมูลจากผู้ใช้ไปพัฒนา เพื่อให้รองรับการใช้งานได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
5.แบตเตอรี 3,000 mAh แต่เพิ่มระบบชาร์จเร็ว
แม้ว่า Galaxy Note 5 จะมากับแบตเตอรีขนาดเพียง 3,000 mAh ที่อาจจะดูแล้วเล็กเกินไปสำหรับใช้งานกับหน้าจอเครื่องขนาดนี้ ทำให้ทางซัมซุงเลือกที่จะใส่ฟังก์ชันอย่างการชาร์จไร้สาย (Wireless Charge) เข้ามา พร้อมกับเพิ่มประสิทธิภาพในการชาร์จผ่านทั้งพอร์ตไมโครยูเอสบี และไวเลสให้รวดเร็วขึ้น
โดยทางซัมซุง ระบุว่า สามารถชาร์จแบตเตอรีให้เต็มเครื่องจากการใช้สายชาร์จได้ภายในเวลา 90 นาที ส่วนถ้าใช้ที่ชาร์จแบบไร้สายโดยใช้ที่ชาร์จของซัมซุงจะสามารถชาร์จเต็มได้ภายในเวลา 120 นาที
ข้อมูลต่างๆเหล่านี้ ถือเป็นจุดเด่นสำคัญของ Galaxy Note 5 ที่จะเริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 21 สิงหาคม 2558 เพียงแต่สินค้าจะทยอยเข้าไปให้สัมผัสที่หน้าร้าน และตัวแทนจำหน่ายตั้งแต่ 15 สิงหาคม และถ้าร้านมีของเข้าสต็อกก็สามารถจำหน่ายได้ทันที สนนราคาเปิดตัวของ Note 5 รุ่น 32 GB จะอยู่ที่ 25,900 บาท และรุ่น 64 GB จะอยู่ที่ 29,900 บาท