เริ่มลุยตลาดได้ไม่นานแบรนด์ Oppo ก็เริ่มเป็นที่รู้จักในประเทศไทยด้วยมือถือเรือธงอย่าง Find 5 ที่แรงสะใจ มาคราวนี้น้องใหม่อย่าง Oppo Find Clover ที่เพิ่งเปิดตัวในงาน TME 2013 Hi-End ล่าสุด ก็อัดแน่นด้วยพลังเสียงจากชิปคุณภาพสูงจาก Burr-Brown Audio ส่งผลให้ภาพลักษณ์ของ Oppo ในเมืองไทยโดดเด่นด้านพลังเสียงคุณภาพได้ชัดเจนมากขึ้น
Find Clover โดดเด่นด้านการให้พลังเสียงคุณภาพจากชิปคุณภาพสูงที่อัดแน่นอยู่ภายใน โดยขับออกทางลำโพงคู่ที่อยู่ด้านหลัง แน่นอนว่าความถนัดของ Oppo ด้านเสียงนั้นเป็นที่รู้กันดีจากการออกเครื่องรุ่นก่อนหน้าที่ให้คุณภาพเสียงได้อย่างดีเยี่ยม การชูจุดเด่นด้านเสียงเพื่อเรียกกระแสกลุ่มผู้ใช้มือถือกลับมาสนใจดนตรี อย่างเช่นที่โซนี่เคยทำได้สำเร็จมาแล้วน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับมือถือที่ผู้บริโภคติดในใจว่าผลิตจากประเทศจีน เพราะหากได้ลองฟังเสียงจาก Find Clover แล้วคุณจะรู้ว่า "เสียงดี" เป็นอย่างไร จนทำให้ลืมคำว่า "เครื่องจีน" ก็เป็นได้
การออกแบบและสเปก
Find Clover ผลิตจากวัสดุพลาสติกแบบด้าน ที่ให้ความรู้สึกหรูหราอยู่ในที แต่แฝงไปด้วยความแรงที่อัดแน่นอยู่ภายใน การออกแบบของตัวเครื่องมีการเล่นระดับที่ด้านล่างของหน้าจอ พร้อมปั๊มโลโก้ ‘OPPO’ เด่นหรา โดยขนาดของตัวเครื่อง Find Clover 129.6 x 66.7 x 9.8 มิลลิเมตร น้ำหนัก 141.5 กรัม
ด้านหน้า - มองจากด้านบนจะเห็นลำโพงสนทนาเป็นช่องแนวนอน โดยใช้เป็นทั้งลำโพงสนทนาและสปีกเกอร์ในช่องเดียวกัน ถัดลงมาด้านล่างเป็นกล้องหน้าที่ให้ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล โดยสามารถถ่ายภาพวิดีโอความละเอียดสูงได้
หน้าจอทัชสกรีนแบบ Capacitive ที่ใช้เทคโนโลยี IPS ขนาด 4.3 นิ้ว แสดงผลกว่า 16 ล้านสี ให้ความละเอียด 480 x 800 พิกเซล ส่วนล่างหน้าจอจะเป็นปุ่มแบบสัมผัส 3 ปุ่มมาตรฐานของแอนดรอยด์โดยจะมองเห็นเมื่อเปิดหน้าจอปกติ และเมื่อพ้นขอบจอลงมาล่างสุดจะเห็นโลโก้ ’OPPO’ แบบปั๊มอยู่บนเนื้อกรอบพลาสติก
ด้านหลัง - จะเห็นกล้องขนาด 5 ล้านพิกเซลพร้อมไฟแฟลช LED ที่พร้อมให้แสงไฟฉายเมื่อเข้าสู่โหมด ‘ไฟฉาย’ ทีมีอยู่ภายในในเครื่อง พื้นที่ตรงกลางมีการสกีนโลโก้ ‘OPPO’ ด้วยสีเทาอยู่กลางฝาหลัง ขณะที่ด้านล่างมีแนวลำโพงยาวเป็นแหล่งขับพลังเสียงแบบลำโพงคู่ที่ถ่ายสัญญาณมาจากชิปเสียงคุณภาพ Burr-Brown Audio
โดยเมื่อเปิดฝาหลังออกจะเห็นแบตเตอรี่ขนาด 1,700 มิลลิแอมป์อยู่ภายใน พร้อมช่องเสียบไมโครซิมการ์ดและช่องเสียบซิมการ์ดขนาดปกติอย่างละหนึ่งช่อง ขณะที่ตรงกลางระหว่างช่องใส่ซิมทั้งสองจะมีช่องให้ใส่ไมโครเอสดีการ์ดที่รองรับสูงสุด 32GB และด้านล่างสุดจะเห็นลำโพงคู่ขุมพลังเสียงขอเครื่อง Find Clover ตัวนี้อย่างชัดเจน
ด้านซ้าย - มีปุ่มพาวเวอร์ที่สามารถใช้กดเพื่อปิดไฟหน้าจอได้นอกเหนือจากการกดปิด/เปิดเครื่อง ด้านขวา - มีปุ่มปรับระดับเสียง สามารถใช้กดเป็นปุ่มชัดเตอร์เพื่อถ่ายภาพได้นอกจากการปรับเพิ่ม/ลดระดับเสียง ทั้งนี้โดยรอบของตัวเครื่องจะมีเส้นโลหะเล็กๆ เดินรอบเครื่องเพิ่มความสวยหรูไปอีกแบบหนึ่ง และอาจจะช่วยเรื่องความคงทนไปในตัวเสมือนโครงกระดูกที่ให้พลาสติกยึดเกาะในเวลาที่กระแทกผิดรูป
ด้านบน - จะมีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตรเพียงอย่างเดียว ด้านล่าง - จะเห็นพอร์ตไมโครยูเอสบีสำหรับเสียบสายชาร์จ เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ ข้างๆกันจะมีช่องไมโครโฟนสนทนาอยู่ ทั้งนี้มุมด้านซ้ายจะเห็นช่องเล็กๆสำหรับงัดเพื่อเปิดฝาหลัง
Find Clover มาพร้อมกับหน่วยประมวลผล Quad Core MT6589 1.2Ghz พร้อมแยกหน่วยประผลกราฟิกแบบ GPU PowerVR SGX544 อยู่ภายใน RAM 1 GB พื้นที่เก็บข้อมูล 4 GB (รุ่นที่นำมาทดสอบ) ซึ่งถือว่าน้อยเกินไปหน่อยเมื่อเทียบกับประสิทธิภาพที่ให้มา แต่ก็สามารถใส่เพิ่มเติมด้วยไมโครเอสดีการ์ดได้สูงสุด 32GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 4.2.1 (Jelly Bean) รองรับเครือข่าย 3G มาตรฐาน 850/900/1900/2100 MHz รองรับ Wi-Fi มาตรฐาน 802.11 a/b/g/n/ac มี บลูทูธ จีพีเอส
ฟีเจอร์ที่น่าสนใจ
การประกาศตัวด้านเสียงเพลงของ Find Clover ทำให้เครื่องรุ่นนี้มาพร้อมอินเตอร์เฟสที่รองรับการเล่นเพลงได้อย่างง่ายดาย โดยมีอินเตอร์เฟสเป็นเครื่องเล่นแผ่นเสียงอยู่ด้านหน้า และเพียงแค่เลื่อนหัวอ่านมาอยู่ที่แผ่น เสียงเพลงที่เราต้องการก็จะถูกขับออกมาจากลำโพงคู่ด้านหลังได้อย่างไพเราะ โดยเมื่อหน้าจอถูกพักเพื่อประหยัดพลังงาน เครื่องเล่นเพลงดังกล่าวจะยังไม่ถูกปิด และเมื่อหน้าจออยู่ในโหมดล้อกอยู่ รายชื่อเพลงพร้อมเมนูและแถบเลื่อนเพื่อควบคุมการเล่นเพลงจะแสดงอยู่ด้านหน้า เพื่อพร้อมใช้งานด้านเพลงตลอดเวลา
ลูกเล่นอีกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจของเครื่อง Find Clover คือการคว่ำเครื่องเพื่อปิดเสียงเรียกเข้า โดยสามารถเข้าไปตั้งค่าในส่วนของการ ‘การใช้ท่าทางและการเคลื่อนไหว’ เพื่อเลือกเปิด/ปิดระบบการ ’การพลิกกลับเพื่อปิดเสียง’ ได้ นับว่าเป็นอีกหนึ่งลูกเล่นด้านเสียงที่สอดแทรกความสะดวกในการใช้งานได้อย่างดีเยี่ยม
ขณะที่อินเตอร์เฟสทั่วไปของ Find Clover ก็ไม่ต่างจากเครื่องที่ลงระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 4.2.1 (Jelly Bean ) เท่าไหร่นัก แต่เพิ่มเติมในส่วนของชุดโปรแกรม NearMe ทั้งหลายที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ OPPO เท่านั้น ซึ่งติดตั้งมาให้ในเครื่องนับตั้งแต่รุ่น Gemini Plus เป็นต้นมา โดยแบ่งเป็น NearMe Apps คลังแอปพลิเคชันที่เหมาะกับเครื่อง OPPO โดยเฉพาะ NearMe Themes แหล่งรวบรวมธีมสำหรับเครื่อง OPPO ที่รองรับโดยเฉพาะ NearMe Wallpapers แหล่งรวมภาพพื้นหลังสวยๆสำหรับผู้ที่ชื่นชอบภาพพื้นหลังใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา
NearMe Sync โปรแกรมสำหรับเชื่อมต่อข้อมูลโทรศัพท์มือถือและเครื่องคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน โดยโปรแกรมจะเก็บข้อมูลเครื่องโทรศัพท์ของคุณเข้าสู่ระบบคลาวด์ ทั้งนี้ยังรองรับการค้นหาโทรศัพท์หากเกิดการสูญหายอีกด้วย โดยระบบจะทำการส่งข้อความสั้นถึงเจ้าของเครื่องหากมีการเปลี่ยนซิมการ์ดใหม่ไปที่หมายเลขที่มีการตั้งค่าไว้ แล้วหลังจากนั้นเจ้าของเครื่องจะต้องทำการตามสืบจากหมายเลขที่ส่งเข้ามาแจ้งเองนะครับ ซึ่งก็นับว่าช่วยเพิ่มเบาะแสการติดตามเครื่องหายได้ในระดับที่ดีเลยล่ะครับ
ในส่วนของการถ่ายภาพนั้นแม้ว่าจะเป็นเพียงกล้องแค่ 5 ล้านพิเซลแต่ก็แทรกฟีเจอร์การถ่ายภาพ อย่างโหมด HDR เพื่อเพิ่มความคมชัดและสวยงามให้ภาพถ่ายได้ระดับหนึ่ง และในโหมดของการถ่ายภาพนี้ยังมีอินเตอร์เฟสที่ใช้งานง่าย รองรับการปรับแต่งค่าที่นอกเหนือจากฟีเจอร์การถ่ายภายสวยๆอย่างครบครัน เช่นการระบุสถานที่ลงในภาพ การปิดเสียงชัตเตอร์ การตั้งเวลาถ่ายภาย หรือแม้กระทั่งการเลือกปิดระบบแตะหน้าจอเพื่อถ่ายภาพ โดยสามารถใช้ปุ่มปรับระดับเสียงกดแทนปุ่มชัตเตอร์ที่หน้าจอได้
ทั้งนี้ฟีเจอร์การถ่ายภาพยังมาพร้อมโหมดการถ่ายภาพกลางคืน โหมดพาโนรามา โหมดHDR โหมดถ่ายภาพเคลื่อนไหว หรือแม้กระทั่งโหมดถ่ายพระอาทิตย์ตกที่ต้องการระบบปรับแสงแบบเฉพาะตัว เพื่อช่วยให้การถ่ายภาพของคุณดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น แน่นอนว่านอกเหนือจากการถ่ายภาพแล้วการแบ่งปันภาพขึ้นสู่สังคมออนไลน์ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ OPPO ไม่มองข้าม โดยเมื่อถ่ายภาพเสร็จเรียบร้อยก็สามารถแบ่งปันภาพถ่ายนั้นๆขึ้นสู่โซเชียลมีเดียที่มีการล็อกอินจากโทรศัพท์นี้ได้ทันที
เทคนิคเล็กๆสำหรับการถ่ายภาพก็คือ หากกดปุ่มถ่ายภาพค้างไว้ ระบบจะทำการหน่วงเวลาไว้ตามเวลาที่ผู้ใช้กดปุ่มค้าง เพื่อประโยชน์ในการละมือจากปุ่มกดและเลือกโฟกัสภาพได้ตามใจชอบนั่นเองครับ
และแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่โทรศัพท์ระดับกลางๆในราคาเพียง 8,990 บาทเท่านั้น แต่ก็มาพร้อมการเชื่อมต่อสื่อมีเดียแบบ DLNA หรือจะเป็นการอัพโหลดข้อมูลผ่านระบบ FTP ขึ้นสู่เซิร์ฟเวอร์ Find Clover เครื่องนี้ก็สามารถทำได้ไม่แพ้เครื่องราคาแพงๆแต่อย่างใด
การใช้งานเว็บเบราว์เซอร์จะมีมาให้เพียงโครมเบราว์เซอร์เท่านั้น ซึ่งปัจจุบันเบราว์เซอร์ดังกล่าวไม่รองรับการใช้งานแฟลชแล้ว โดยการใช้งานโครมเบราว์เซอร์นั้นก็ให้ความรู้สึกลื่นไหลดี
คีย์บอร์ดที่ให้มารองรับการพิมพ์ภาษาไทย โดยเป็นคีย์บอร์ดแบบ QWERTY ตามมาตรฐานทั่วไปทั้งแนวตั้งและแนวนอน แต่ในการเปลี่ยนภาษานั้นจะมีปุ่มให้เลือกอยู่ด้านบนโดยสามารถกดเพียงครั้งเดียวแล้วกดเลือกภาษาอีกครั้ง หรือจะกดค้างไว้แล้วเลื่อนเพื่อเปลี่ยนภาษาก็สามารถทำได้
ในส่วนของผลการทดสอบ ผ่านโปรแกรมทดสอบประสิทธิภาพบนแอนดรอยด์อย่าง Quadrant Standart และ Antutu ได้คะแนน 3,949 คะแนน และ 13,797 คะแนน ตามลำดับ หน้าจอรองรับการสัมผัส 5 จุดพร้อมกัน
ทดสอบการใช้งาน HTML 5 ผ่าน Vellamo ได้ 1,494 คะแนน ส่วนประสิทธิภาพตัวเครื่องได้ 430 คะแนน ทดสอบกราฟิกผ่าน Nenamark1 ได้ 62.8 fps Nenamark2 56.0 fps An3dBench 8,286 คะแนน และ An3dBenchXL 40,157 คะแนน
ขณะที่การทดสอบด้วยโปรแกรม Passmark Performance Test Mobile ได้คะแนน System 2,029 คะแนน CPU 8,367 คะแนน Disk 2,382 คะแนน Memory 1,649 คะแนน 2D Graphics 2,425 คะแนน และ 3D Graphics 654 คะแนน
ส่วนการทดสอบ CF-Bench ดูรายละเอียดได้จากรูปด้านล่าง
จุดขาย
- อินเตอร์เฟสที่พร้อมใช้งานด้านเพลงโดยเฉพาะ
- ชิปพลังเสียง Burr-Brown Audio และลำโพงคู่ด้านหลัง
- ชุดโปรแกรมเฉพาะแบบฉบับของ NearMe
- ราคาพียง 8,900 บาท แต่ได้ซีพียูแบบ Quad Core พร้อม GPU แยก
- รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด โดยมีทั้งไมโครซิมและซิมขนาดปกติ
ข้อสังเกต/ตอบจุดขายหรือไม่
- ซีพียูควอดคอร์ ให้ความเร็วที่ดีแต่ส่วนอื่นๆเมื่อทดสอบความสามารถโดยรวมยังถือว่าทำคะแนนได้ไม่ดีเท่าที่ควร ซึ่งอาจเกิดจากตัวแอปฯไม่รู้จักรุ่นของซีพียู
- เมื่อเปิดใช้งานไวไฟ พลังงานแบตเตอรี่จะหมดเร็วจนน่าตกใจ
- ประสิทธิภาพของลำโพงที่ยังให้เสียงเบสได้ไม่ดีเท่าที่ควร
ฟันธง! ความคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่เสียไป
หากจะหาคู่เปรียบก็ต้องบอกว่า iQX ของไอโมบายน่าจะเป็นตัวจับที่ใกล้เคียงที่สุด โดยราคาก็อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน ห่างกันเพียงไม่กี่ร้อยบาท แต่สำหรับผู้ที่ชื่นชอบเสียงเพลงแล้ว OPPO Find Clover ก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดี เพราะสามารถขับพลังเสียงออกมาได้อย่างดี หากแต่ต้องต่อผ่านลำโพงสำหรับมือถือหรือหูฟังที่คุณภาพดีเสียหน่อย คุณภาพเสียงที่ได้จะรู้เลยว่าชิป Burr-Brown Audio นั้นมีประสิทธิภาพเป็นอย่างไร
ในส่วนของแบตเตอรี่นั้น แม้ว่าจะให้มาเพียงแค่ 1,700 mAh เท่านั้นแต่ก็เพียงพอต่อการใช้งานแบบ GSM เนื่องจากไม่ได้มี 3G ที่จะทำให้สิ้นเปลืองแบตเตอรี่ แต่หากใช้งานแบบไวไฟ แบตเตอรี่ที่ต้องใช้เวลาชาร์จมานานกว่า 3 ชั่วโมงจะหมดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าตัวคอร์ของซีพียูไม่สามารถปิดการทำงานแบบเฉพาะจุดได้ ทำให้การใช้งานทุกครั้งคอร์ของซีพียูจะทำงานเต็มที่ ส่งผลให้เปลืองแบตเตอรี่นั่นเอง
OPPO Find Clover เริ่มจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคม 2556 โดยเปิดตัวครั้งแรกที่งาน Thailand Mobile Expo 2013 Hi-End มีราคาเปิดตัวอยู่ที่ 8,990 บาท มีวางจำหน่ายเพียงสีเดียวคือสีขาวเท่านั้น
Company Related Link :
OPPO Thai