เหมือน F480 ทุกอย่าง ทั้งรูปร่าง, หน้าตา, วัสดุ, กรอบโลหะรมดำ, จอสัมผัสเต็มรูปแบบ (Full Touch Screen) หรือ Touchwiz, Widget, ปุ่มกด, เมนู, แอปพลิเคชัน และการใช้งาน ต่างกันแค่รายละเอียดนิดหน่อย กับเพิ่มฟังก์ชันสำหรับการใช้งาน 2 ซิมพร้อมกันเข้ามาเท่านั้น
การใช้งานง่าย ไม่ยุ่งยาก แยกการทำงานของซิมแต่ละตัวเป็นอิสระจากกัน การควบคุมใช้นิ้วอย่างเดียวได้เลย สไตลัสที่ให้มาแทบไม่ได้แตะ เมนูต่างๆเข้าใจง่าย เป็นขั้นตอน ไม่สับสน สามารถ Stand by 2 ซิมได้พร้อมๆกัน แต่ทั้ง 2 ซิมต้องเป็นระบบ GSM เท่านั้น CDMA ไม่สามารถ เพราะฉะนั้นเหลือให้เลือกอยู่ 3 ค่าย AIS, DTAC และ True จะจับคู่ AIS-DTAC, AIS-True หรือ DTAC-True ได้ทั้งนั้น
รับสาย 2 ซิมพร้อมกันได้ หมายถึงคุยกับสายบนซิม 1 อยู่และมีสายเข้าซิม 2 (มีสัญญาณเตือน) ก็สลับสายไปรับสายซิม 2 เสร็จแล้วสลับกลับมาคุยกับซิม 1 ต่อได้ มีข้อตินิดเดียว หน้าจอสัมผัสความรู้สึกช้าไปหน่อย ใช้น้ำหนักในการแตะมากไปนิด บางครั้งก็ต้องแช่ถึงจะรู้สึกตัว หน้าจอเล็กกว่า F480 อยู่นิดนึง ทำให้การใช้งานลำบากกว่า แต่ก็ไม่มาก และไม่รองรับ 3G อย่างไรก็ตามในกระบวนโทรศัพท์ 2 ซิมในตลาดตอนนี้ Samsung D980 ดูดีสุด ทั้งรูปร่าง หน้าตา ความสามารถ การใช้งาน และแบรนด์เนม
จุดขายเพียบ
Samsung D980 เป็นทัชโฟน 2 ซิมรุ่นแรกของค่ายซัมซุง เปิดตัวมานานมากแล้วตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่แล้ว (2551) นู่น แต่เพิ่งวางตลาดเมื่อต้นปี 2552 ที่ผ่านมา พลิกไปพลิกมาแล้วก็เหมือนๆกับ Samsung F480 แตกต่างกันเล็กน้อยในรายละเอียด จุดเด่นของโทรศัพท์รุ่นนี้ค่อนข้างเยอะ ทั้งระบบ Dual SIM, จอสัมผัสเต็มรูปแบบ (Full Touch Screen), หน้าตาที่ดูหรูหราสวยงาม และกล้อง 5 ล้านพิกเซล
ระบบ Dual SIM ของ Samsung D980 เป็นระบบที่ฉลาดและทำงานได้ยอดเยี่ยมมาก ซิมทั้งสองตัวจะแยกทำงานเป็นอิสระจากกัน โดยยังคงควบคุมและสั่งงานได้ง่ายผ่านหน้าจอทัชสกรีน จะเรียกใช้ซิมตัวไหนก็แค่แตะสัญลักษณ์ซิม 1 หรือซิม 2 ที่หน้าจอ สามารถ Stand by ได้พร้อมกันทั้งสองซิม มีรูปสัญลักษณ์แสดงความแรงของสัญญาณของซิมแต่ละตัวอย่างชัดเจน และเลิกกลัวไปได้เลยจะพลาดการรับสายในกรณีที่ใช้งานซิม 1 อยู่แล้วมีสายเข้ามาที่ซิม 2 เพราะถ้ามีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น โทรศัพท์จะส่งสัญญาณเตือนบอกให้เรารู้ว่ามีสายเข้า ซึ่งเราสามารถสลับไปรับสายที่เข้ามาที่ซิม 2 ได้ทันที โดยซิม 1 จะถูกพักสายเอาไว้โดยอัตโนมัติ และเมื่อคุยกับซิม 2 เสร็จ ก็สลับกลับมาคุยกับซิม 1 ต่อได้โดยที่สายไม่ตัด เหมือน Call Waiting ธรรมดา นับว่าสะดวกมากทีเดียว
การโทรออกไม่ว่าจะโทรออกจากสมุดโทรศัพท์หรือกดเบอร์เอง จะมีสัญลักษณ์ปรากฏขึ้นบนหน้าจอให้เลือกว่าจะโทรออกด้วยซิม 1 หรือซิม 2 การใช้งาน GPRS กับ EDGE ก็เช่นกันสามารถเลือกได้ว่าจะใช้งานผ่านซิมตัวใด และในสมุดโทรศัพท์ รายชื่อที่แสดงสามารถเลือกได้ว่าจะให้แสดงเฉพาะรายชื่อที่อยู่บนซิม 1 หรือซิม 2 หรือจะแสดงหมดทั้ง 2 ซิมพร้อมกันก็ได้ โดยมีสัญลักษณ์กำกับเพื่อให้รู้ว่ามาจากซิมตัวไหน และก็ไม่จำเป็นด้วยว่าซิมที่อยู่ใน Slot 1 จะต้องเป็นซิม 1 เสมอไป อาจเป็นซิม 2 ก็ได้ เพราะเราสามารถกำหนดได้ผ่านแอปพลิเคชัน SIM Cards Management ที่จะปรากฏขึ้นโดยอัตโนมัติทุกครั้งที่เปิดเครื่อง หรือเลือกจากหมวด Settings ในภายหลังก็ได้
Samsung D980 ใช้เทคโนโลยีทัชสกรีนเต็มรูปแบบ (Full Touch Screen) คือใช้นิ้วควบคุมและสั่งงานทุกอย่างผ่านหน้าจอแบบสัมผัส ไม่มีปุ่มตัวเลขให้ดูรกตา เทคโนโลยีนี้เป็นนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นโดยซัมซุงเองมีชื่อเรียกเฉพาะว่า “Touchwiz“ มีกราฟิกที่สวยงาม สีสันสดใส เมนูมีขนาดใหญ่ ตัวอักษร อ่านง่าย ชัดเจน และใช้งานง่าย แม้จะมีขนาดหน้าจอที่เล็กกว่าเมื่อเทียบกับโทรศัพท์รุ่น F480 ก็เถอะ แต่ก็ยังถือว่าควบคุมและใช้งานง่ายอยู่ดี ปากกาสไตลัสที่ให้มาไม่มีความจำเป็นเลยแม้แต่นิดเดียว
อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องพูดถึงควบคู่กันไปกับ Touchwiz ก็คือ “Widget” นวัตกรรมนี้จะปรากฏให้เห็นที่หน้าจอ Stand by ด้านซ้ายมือจะมีแถบเรียกว่า Widget Bar ซึ่งทำหน้าที่คล้ายๆแถบ Quick Launch ของ Windows เราสามารถจับเอาแอปพลิเคชันที่ใช้งานบ่อยๆมาวางไว้ได้ และเรียกใช้ได้ง่ายด้วยการจับลากมาวางเอาไว้บนหน้าจอหลัก แค่นี้ก็สามารถใช้งานได้แล้ว
กล้องที่ติดมากับ Samsung D980 เป็นกล้องที่มีความละเอียดถึง 5 ล้านพิกเซล พร้อมแฟลชแบบ LED ขนาดรูปสูงสุด 2560 x 1920 พิกเซล มีออปชันให้เลือกตั้งค่าการทำงานมากมาย อาทิ โหมดการถ่ายภาพ, ความละเอียดรูป, มาโคร, การทำงานของแฟลช, ตั้งเวลาถ่าย, ระบบตรวจจับใบหน้าอัตโนมัติ, เอฟเฟกต์, สมดุลแสงสีขาว, คุณภาพของภาพ, ISO, ระบบวัดแสง, ระบบป้องกันมือสั่น และอื่นๆ
คุณภาพของภาพในสภาพแสงปกติจัดอยู่ในขั้นดีมาก ความคมชัดสูง ความละเอียดสูง รายละเอียดชัดเจน สีออกโทนธรรมชาติ ไม่ฉูดฉาด ตรงนี้บางคนอาจไม่ชอบ ระบบวัดแสงที่มีให้เลือกทั้งแบบเฉลี่ยและเฉพาะจุด ทำให้สามารถถ่ายภาพได้ชัดเจนในแทบจะทุกโอกาสที่ต้องการ แต่สำหรับในที่แสงน้อยแล้ว ถือว่ายังไม่ผ่าน เพราะมีนอยซ์เกิดขึ้นเยอะ และถ้าใช้แฟลชช่วย แสงจะฟุ้ง ไม่สมดุล แถมสียังเพี้ยนด้วย เหมือน F480 เป๊ะ
ภาพตัวอย่าง
สำหรับการถ่ายวิดีโอ สามารถถ่ายได้ความละเอียดสูงสุดระดับ VGA (640 x 480 พิกเซล) ที่ความเร็ว 15 เฟรมต่อวินาที มีออปชันให้ตั้งค่าการทำงานมากพอๆกับการถ่ายภาพนิ่ง ส่วนเรื่องคุณภาพก็เช่นกัน มีความคมชัดดี สีออกโทนธรรมชาติ และไหลลื่นไม่กระตุก
นอกจากนี้ก็ยังมีโปรแกรมอีดิตรูปมาให้ ซึ่งทำงานได้ดีในระดับเบสิก ได้แก่ ครอปรูป, ปรับความสว่าง, ปรับโทนสี, ปรับขนาด, หมุนภาพ, กลับภาพ, ใส่เอฟเฟกต์, ใส่กรอบ, แทรกรูป, แทรกคลิปอาร์ต, แทรกอีโมติคอน และแทรกข้อความ
การใช้งานอื่นๆ
ฟังเพลง คุณภาพเสียงอยู่ในระดับดี มีมิติใช้ได้ ถึงเบสจะน้อยไปนิดก็ตาม มีอีควอไลเซอร์มาให้ใช้ 8 รูปแบบ ได้แก่ Normal, Rock, Bass, Classic, Jazz, Wide, Dynamic และ Surround เป็นต้น สามารถเล่นเพลงซ้ำได้ และเล่นสลับเพลงได้ สามารถฟังเสียงสเตริโอผ่าน Bluetooth ได้ และฟังวิทยุได้
มีโปรแกรมบันทึกเสียง เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเลกเชอร์ในห้องเรียนหรือห้องสัมมนา, มีโปรแกรมนาฬิกาโลก, โปรแกรมแปลงหน่วยสกุลเงิน, ความยาว, น้ำหนัก, พื้นที่, ปริมาตร และอุณหภูมิ, นาฬิกาจับเวลา, นาฬิกานับเวลาถอยหลัง, มีจาวาเกมที่สามารถดาวน์โหลดเพิ่มได้ และมีโปรแกรมสำหรับอ่านงานเอกสารประเภท Office ด้วย เรียกว่าครบถ้วนทีเดียวสำหรับแอปพลิเคชันเชิงธุรกิจ
การเชื่อมต่อมีมาให้พอหอมปากหอมคอ Tri-Band GSM สำหรับเสียง USB, Bluetooth และ EDGE สำหรับดาต้า น่าเสียดายที่ไม่รองรับ 3G การใช้งานอินเทอร์เน็ตจะเรียกผ่านเบราว์เซอร์ที่มีมาให้ในตัว ไซส์ตัวอักษรมีขนาดพอเหมาะไม่เล็กเกินไป และไม่ใหญ่จนเทอะทะ จิ้มลิงก์ด้วยนิ้วได้แบบสบายๆเช่นกัน
ดีไซน์โดดเด่น เช่นเดียวกับพี่น้องร่วมสายพันธุ์
โดยรวมแล้ว Samsung D980 จะมีดีไซน์ที่เหมือนกับ F480 แต่หนากว่า มีความหรูหรา ปราณีต และสวยงาม ด้านหน้าปิดทับไว้ด้วยแผ่นกระจกบานใหญ่ล้อมกรอบด้วยขอบโลหะรมดำ ด้านบนเป็นที่อยู่ของช่องลำโพงทรงรี ปิดทับด้วยตะแกรงและกรอบโลหะโครเมียม ถัดลงมาตรงกลางเป็นที่อยู่ของจอ LCD ไซส์ 2.6 นิ้ว ความละเอียด 240 x 320 พิกเซล แสดงผลได้ 262,144 สี ด้านล่างสุดเป็นที่อยู่ของปุ่มกดจำนวน 3 ปุ่ม ซ้ายเป็นปุ่มโทรออก/รับสาย ฝั่งขวาเป็นปุ่มเปิดปิดเครื่อง/วางสาย ตรงกลางเป็นปุ่ม Back วัสดุที่ใช้เป็นโลหะรมดำ
ด้านซ้าย เป็นที่อยู่ของปุ่มปรับระดับเสียง ที่ทำหน้าที่เป็นปุ่ม PageUp – PageDown ไปในตัว ถัดลงไปเป็นปุ่มล็อกหน้าจอ (Hold) ป้องกันการสั่งงานโดยไม่ตั้งใจเวลาใส่ไว้ในกระเป๋า
ด้านขวา มีช่องเสียบสายชาร์จ/หูฟัง/ดาต้าลิงค์ และปุ่มชัตเตอร์ ที่ทำหน้าที่เป็นปุ่มเปิดการทำงานระบบกล้องด้วยในตัว
ด้านบน โล่งๆ มีเพียงรูร้อยสายคล้องกับช่องเก็บสไตลัสตรงมุมซ้ายเท่านั้น ส่วนทางด้านท้ายมีช่องไมโครโฟนเล็กๆ
ด้านหลัง เป็นที่อยู่ของกล้อง 5 ล้านพิกเซล พร้อมแฟลช LED และช่องใส่แบต/ซิมการ์ด/เมมโมรี่การ์ด โดย Slot ใส่ซิมการ์ดและเมมโมรี่การ์ดจะอยู่ใต้แบตเตอรี่อีกที วัสดุที่ใช้ทำฝาปิดจะแตกต่างจาก F480 คือเป็นพลาสติกนิ่มๆ เหมือนกริปกล้องถ่ายรูป หนืดมือ ไม่ลื่น
สำหรับอายุการใช้งานบนแบตเตอรี่ เท่าที่ลองใช้งานจริงๆ โทรเข้าโทรออกนับเวลารวมกันได้ประมาณสัก 60 นาที เล่นเน็ตประมาณ 60 นาที ฟังเพลงฟังวิทยุเรื่อยๆประมาณ 4 ชั่วโมง ปรากฏว่า 1 วันเต็มๆอยู่ได้ ไม่จำเป็นต้องชาร์จระหว่างวันแต่อย่างใด แต่ถ้าไม่ได้ใช้อะไรกันมาก Stand by อย่างเดียว 3 วัน แบตฯลดไปประมาณครึ่งเดียวเอง นับว่าไม่ธรรมดาสำหรับโทรศัพท์ระบบ Dual SIM
มิติของตัวเครื่องโดยรวมคือ 97.5 x 55 x 16.3 มิลลิเมตร กว้างและสูงพอๆกับ F480 แต่หนากว่าประมาณ 5 มิลลิเมตร น้ำหนักตัวอยู่ที่ 117 กรัม ถือว่าไม่มากจนเกินไป ส่วนค่าตัวล่าสุด ณ วันที่ 10 มีนาคม 2552 อยู่ที่ 13,900 บาท
สรุป
Samsung D980 เป็นโทรศัพท์มือถือระบบ Dual SIM ที่สร้างความประทับใจให้กับเราได้มากพอสมควร ทั้งรูปร่างหน้าตา, ความหรูหรา, วัสดุที่ใช้ผลิต, ความประณีตในการประกอบ, เทคโนโลยีทั้ง TouchWiz และ Widget , ความง่ายในการใช้งาน และความอึดของแบตเตอรี่ เป็นระบบ 2 ซิมที่แยกการทำงานของแต่ละซิมเป็นอิสระ แต่ยังสามารถควบคุมและสั่งงานได้ง่าย นับว่าเป็นการออกแบบที่ไม่ธรรมดาจริงๆ แม้จะมีข้อติบ้างในเรื่องของความไวในการรับรู้การสัมผัสของหน้าจอ ขนาดจอ 2.6 นิ้วที่ทำให้การใช้งานลำบากขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับ F480 และไม่รองรับ 3G กระนั้นเมื่อเปรียบเทียบข้อดีข้อเสีย บวกกับแบรนด์เนม Samsung และค่าตัว 13,900 บาทแล้ว เชื่อว่าคนที่กำลังมองหาโทรศัพท์ Dual SIM จะไม่มองข้าม Samsung D980 ไปง่ายๆอย่างแน่นอน
รายละเอียด Samsung D980