เอเอฟพี – คนพม่าออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งบางตาในวันอาทิตย์ (28 ธ.ค.) ขณะที่รัฐบาลทหารอ้างว่า เป็นการคืนประชาธิปไตยให้ประชาชนหลังใช้อำนาจขับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งชุดสุดท้ายและนำไปสู่สงครามกลางเมือง ขณะที่นักวิจารณ์ชี้ว่า เป็นการรีแบรนด์กฎอัยการศึก
อองซาน ซูจี อดีตผู้นำพลเรือนยังคงถูกจองจำ ขณะที่พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอ็นแอลดี) ของเธอที่ได้รับความนิยมอย่างท่วมท้นถูกยุบจึงไม่ได้ลงเลือกตั้งครั้งนี้
นักเคลื่อนไหว นักการทูตตะวันตก และสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ประณามการเลือกตั้งที่แบ่งออกเป็น 3 รอบและกินเวลา 1 เดือน เนื่องจากในการเลือกตั้งมีแต่พรรคที่เป็นพันธมิตรกับกองทัพ อีกทั้งมีการปราบปรามผู้ต่อต้านอย่างรุนแรง
พรรคสหสามัคคีและการพัฒนาที่สนับสนุนทหารถูกคาดหมายอย่างกว้างขวางว่า จะกวาดคะแนนสูงสุดในการเลือกตั้งที่นักวิจารณ์ระบุว่า เป็นการรีแบรนด์กฎอัยการศึก
มิน อ่อง หล่าย ผู้นำรัฐบาลทหารพม่า รับประกันว่า การเลือกตั้งจะเป็นไปอย่างเสรีและเป็นธรรม และสำทับว่า กองทัพในฐานะผู้จัดการเลือกตั้งจะไม่ยอมทำลายชื่อเสียงตัวเอง
ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีประชากรราว 50 ล้านคนแห่งนี้ถูกย่ำยีจากสงครามกลางเมือง และจะไม่มีการจัดการเลือกตั้งในพื้นที่ที่อยู่ภายใต้การยึดครองของกบฏกลุ่มต่างๆ
ที่ด้านนอกคูหาเลือกตั้งใกล้เจดีย์สุเหล่ในย่างกุ้ง จำนวนนักข่าวและเจ้าหน้าที่มีมากกว่าจำนวนผู้ที่ไปใช้สิทธิ์ ต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับการเลือกตั้งครั้งล่าสุดในปี 2020 ที่ผู้คนเข้าคิวรอหย่อนบัตรยาวเหยียด แต่หลังจากนั้นไม่กี่เดือนกองทัพได้ประกาศให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ พร้อมขับอองซาน ซูจี และยึดอำนาจ
ชายวัย 45 ปีคนหนึ่งที่ไปใช้สิทธิ์ที่คูหาเลือกตั้งแห่งนี้ กล่าวถึงกรณีที่นานาชาติวิจารณ์การเลือกตั้งของพม่าว่า เป็นเรื่องปกติที่ต้องมีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
ที่คูหาเลือกตั้งอีกแห่งใกล้บ้านพักของอองซาน ซูจี ชายวัย 63 ปีที่เข้าไปหย่อนบัตรเป็นคนแรกบอกว่า การเลือกตั้งสำคัญมากและจะทำให้ประเทศดีขึ้น ก่อนเสริมว่า สิ่งสำคัญอันดับแรกคือการฟื้นความปลอดภัยและความสงบสุข
ในช่วงก่อนการเลือกตั้ง ไม่มีการชุมนุมครั้งใหญ่แบบที่อองซาน ซูจีเคยจัด ขณะที่กองทัพดำเนินมาตรการเชิงรุกอย่างเข้มข้นเพื่อชิงพื้นที่ที่เสียไปกลับคืนมา
ชายหนุ่มวัย 23 ปีที่ต้องทิ้งบ้านจากเหตุการณ์รุนแรงหลังการรัฐประหาร บอกว่า การเลือกตั้งจะไม่ทำให้สถานการณ์การเมืองดีขึ้น การโจมตีทางอากาศและความโหดร้ายป่าเถื่อนในบ้านเกิดของเขาในรัฐฉานจะดำเนินต่อไปหลังการเลือกตั้ง
รัฐบาลทหารปกครองพม่ามาเกือบตลอดเวลาหลังจากประกาศเอกราช โดยมีช่วงพักเบรก 10 ปีที่รัฐบาลพลเรือนได้ปกครองประเทศ
แต่หลังจากพรรคเอ็นแอลดีของอองซาน ซูจี เอาชนะพรรคฝ่ายค้านที่โปรกองทัพอย่างถล่มทลายในปี 2020 มิน อ่อง หล่ายได้เข้ายึดอำนาจโดยกล่าวหาว่า มีการโกงการเลือกตั้งอย่างแพร่หลาย
ขณะที่กองทัพพม่าปราบปรามผู้ประท้วงประชาธิปไตย นักเคลื่อนไหวหลายคนได้หนีออกจากเมืองและเข้าร่วมการสู้รบแบบกองโจรเคียงข้างกองทัพกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีอิทธิพลในพื้นที่ชายขอบของพม่ามายาวนาน
แม้ไม่มียอดผู้เสียชีวิตอย่างเป็นทางการจากสงครามกลางเมืองในพม่า แต่ ACLED ซึ่งเป็นกลุ่มติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งทั่วโลกประเมินว่า มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 90,000 คนนับจากการรัฐประหาร
พรรคการเมืองส่วนใหญ่จากการเลือกตั้งปี 2020 ถูกยุบ ขณะที่เครือข่ายเอเชียเพื่อการเลือกตั้งเสรีระบุว่า ที่นั่งในสภา 90% ในการเลือกตั้งครั้งที่แล้วตกเป็นขององค์กรที่ไม่มีชื่อปรากฏในบัตรเลือกตั้งเมื่อวันอาทิตย์
ขณะเดียวกัน พรรครัฐบาลทหารดำเนินคดีกับประชาชนกว่า 200 คนในข้อหาละเมิดกฎเหล็กที่ห้ามขัดขวางการเลือกตั้งที่รวมถึงการประท้วงและการวิจารณ์
สำนักงานยูเอ็นในพม่าประกาศว่า สิ่งสำคัญคืออนาคตของพม่าต้องกำหนดโดยกระบวนการที่เสรี เป็นธรรม ยอมรับการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย และเชื่อถือได้ ซึ่งสะท้อนเจตนารมณ์ของประชาชน
ทั้งนี้ การเลือกตั้งรอบสองจะจัดขึ้นภายใน 2 สัปดาห์ก่อนการเลือกตั้งรอบที่ 3 ซึ่งเป็นรอบสุดท้ายที่กำหนดไว้ในวันที่ 25 ม.ค. อย่างไรก็ดี รัฐบาลทหารยอมรับว่า ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎรเกือบ 1 ใน 5


