การปะทะบริเวณพื้นที่ชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชายืดเยื้อเข้าสู่วันที่ 3 ในวันพุธ (10 ธ.ค.) ขณะที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เตรียมต่อโทรศัพท์คุยผู้นำทั้ง 2 ฝ่ายเพื่อยุติความขัดแย้ง หลังจากที่เคยเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยหยุดยิงในเดือน ก.ค. ซึ่งช่วยยุติการสู้รบนาน 5 วันระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้านในเอเชีย
รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของไทยกล่าวในการสัมภาษณ์เมื่อวันอังคาร (9) ว่า ตนมองไม่เห็นความเป็นไปได้ในการเจรจา พร้อมเสริมว่าสถานการณ์ขณะนี้ไม่เอื้ออำนวยต่อการไกล่เกลี่ยจากบุคคลที่สาม ขณะที่ที่ปรึกษาอาวุโสของนายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต แห่งกัมพูชาบอกกับรอยเตอร์ว่า ประเทศของเขา "พร้อมที่จะเจรจาได้ทุกเมื่อ"
ในการปราศรัยที่รัฐเพนซิลเวเนียเมื่อวันอังคาร (9) ทรัมป์ ได้กล่าวถึงสงครามหลายแห่งที่เขาอ้างว่าได้ช่วยยุติ รวมถึงสงครามระหว่างปากีสถานและอินเดีย และอิสราเอลและอิหร่าน ก่อนจะหยุดอยู่ที่ความขัดแย้งที่ปะทุขึ้นใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
"ผมไม่อยากพูดเลย สงครามระหว่างกัมพูชาและไทย และมันเริ่มต้นขึ้นในวันนี้ และพรุ่งนี้ผมจะต้องโทรศัพท์ไป จะมีใครอีกที่จะพูดได้ว่า 'ผมจะโทรศัพท์ไปหยุดสงครามระหว่างสองประเทศมหาอำนาจอย่างไทยและกัมพูชา' ได้"
ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ เคยพูดคุยกับผู้นำของทั้งสองประเทศ และมีบทบาทสำคัญในการรักษาสันติภาพชั่วคราวระหว่างทั้งไทยและกัมพูชานับตั้งแต่การปะทะกันในเดือน ก.ค. ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปอย่างน้อย 48 คน และเป็นการปะทะกันที่รุนแรงที่สุดระหว่างสองประเทศในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา
ในเดือน ก.ค. ทรัมป์ ใช้การเจรจาทางการค้าเป็นเครื่องมือในการไกล่เกลี่ยให้เกิดการหยุดยิง ขณะที่ สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีต่างประเทศของไทย กล่าวกับรอยเตอร์ว่า เขาไม่คิดว่าควรใช้การขู่ขึ้นภาษีมากดดันประเทศของตนให้ยอมเจรจา
ความตึงเครียดปะทุขึ้นนับตั้งแต่ไทยประกาศระงับมาตรการลดความตึงเครียดที่ตกลงกันไว้ในการประชุมสุดยอดเมื่อเดือน ต.ค. ต่อหน้า,ฝ ทรัมป์ เมื่อเดือนที่แล้ว หลังจากทหารไทยนายหนึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสจากกับระเบิดที่กรุงเทพฯ กล่าวว่ากัมพูชาเพิ่งนำมาวางใหม่ ขณะที่กัมพูชาปฏิเสธข้อกล่าวหานี้
ทั้งสองประเทศได้อพยพประชาชนหลายแสนคนออกจากพื้นที่ชายแดน และเมื่อคืนวันอังคาร (9) กระทรวงกลาโหมของกัมพูชาระบุว่า มีพลเรือนเสียชีวิต 9 รายตั้งแต่วันจันทร์ (8 ธ.ค.) และบาดเจ็บสาหัส 20 ราย ขณะที่เจ้าหน้าที่ไทระบุว่ามีทหารเสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 4 นาย และบาดเจ็บ 68 นาย
ไทยแสดงเจตจำนงอย่างชัดเจนว่าเป้าหมายคือการลดทอนศักยภาพในการโจมตีของกัมพูชา โดยนายพลระดับสูงกล่าวเมื่อวันจันทร์ (8 ธ.ค.) ว่าเป้าหมายของกองทัพคือ "ทำลายศักยภาพทางทหารของกัมพูชาในระยะยาว"
ด้านกระทรวงกลาโหมของกัมพูชาแถลงเมื่ออังคาร (9) ว่า กองทัพไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องปฏิบัติการป้องกันตนเอง โดยกล่าวหาประเทศไทยว่า "ยิงปืนใหญ่ใส่พื้นที่อยู่อาศัยของพลเรือนอย่างไม่เลือกหน้าและโหดร้าย" ซึ่งกรุงเทพฯ ปฏิเสธข้อกล่าวหานี้
ที่มา: รอยเตอร์


