(เก็บความจากเอเชียไทมส์ https://asiatimes.com/2025/12/with-constellation-frigates-canceled-save-ticonderoga-cruisers/)
With Constellation frigates canceled, save Ticonderoga cruisers
by Stephen Bryen
02/12/2025
เป็นเรื่องถูกต้องชอบธรรมที่จะตั้งคำถามว่า ทำไมกองทัพเรือสหรัฐฯจึงกำลังเร่งรีบปลดระวางยุติการใช้งานพวกเรือลาดตระเวนชั้นไทคอนเดอโรกา ในช่วงเวลาที่กำลังจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยเรือรบเหล่านี้เป็นอย่างยิ่ง
กองทัพเรือสหรัฐฯเพิ่งประกาศยกเลิกโครงการเรือฟริเกตชั้นคอนสเตลเลชัน (Constellation-class frigate) [1] ไปเมื่อไม่นานมานี้ และจะเหลือเรือที่อยู่ระหว่างการต่อให้เสร็จสิ้นเรียบร้อยเพียงแค่ 2 ลำ
ก่อนที่จะมีการตัดสินใจยกเลิก โครงการเรือฟริเกตโครงการนี้ก็ได้ล่าช้ากว่ากำหนดมาแล้วเป็นเวลา 36 เดือน โดยที่การต่อเรือลำแรกจะเสร็จสมบูรณ์ในปี 2029 จากนั้นเรือฟริเกตลำใหม่ๆ ที่เพิ่งต่อเสร็จยังจะต้องผ่านการทดสอบด้านต่างๆ อย่างกว้างขวาง ซึ่งบางทีน่าจะชะลอการเข้าประจำการในกองทัพนาวีของเรือเหล่านี้ไปอีก 3 ถึง 5 ปี หรือไปจนถึงช่วงระหว่างปี 2032 - 2034
เรือฟริเกตชั้นคอนสเตลเลชั่น ได้รับการว่งแผนเอาไว้เพื่อให้เข้าแทนที่ “เรือสู้รบชายฝั่ง” (Littoral Combat Ship หรือ LCS) ซึ่งกลายเป็นเรือที่ไร้ประโยชน์อย่างเหลือเชื่อ ถึงแม้ครั้งหนึ่งมีนายทหารใหญ่อาวุโสยศพลเรือเอกผู้หนึ่งได้เคยเรียกเรือประเภทนี้อย่างยกยอว่า เป็นเรือรบแบบ “นักสู้ข้างถนน” (street fighter) รุ่นแรกของสหรัฐฯ ซึ่งมีความเก่งกาจโดดเด่นในการสู้รบประชิดตัว ทั้งนี้เรือรบประเภทนี้ต่อออกมาจากอู่ชนิดที่แทบปราศจากการติดตั้งอาวุธใดๆ เลยยกเว้นปืน 57 ม.ม.สั่งซื้อจากสวีเดน 1 กระบอกที่มีพิสัยการยิงซึ่งจำกัด เรือ LCS “ได้รับการจินตนาการเอาไว้ให้เป็นเรือสู้รบผิวน้ำที่ทั้งสามารถหลีกเร้นเรดาร์ (stealthy), คล่องตัว, และเข้าเชื่อมต่ออยู่ในเครือข่าย ซึ่งทำให้มีศักยภาพที่จะยังความพ่ายแพ้ให้แก่ภัยคุกคามแบบต่อต้านการเข้าถึง (anti-access) [2] ลักษณะอสมมาตร (asymmetric) ต่างๆ [3] ในบริเวณน่านน้ำใกล้ชายฝั่ง [4]”
อย่างไรก็ดี “พวกผู้เชี่ยวชาญ” ของกองทัพเรือสหรัฐฯเอง มีข้อสรุปออกมาแล้วว่า เรือ LCS จะไม่สามารถอยู่รอดได้เมื่อเผชิญการสู้รบจริงๆ [5] กระนั้น นาวีอเมริกันก็ยังคงต่อเรือประเภทนี้ออกมาแล้วเป็นจำนวน 25 ลำ (11 ลำเป็นเรือชั้นฟรีดอม Freedom Class และอีก 14 ลำเป็นชั้นอินดีเพนเดนซ์ Independence Class) ถึงแม้ในจำนวนนี้ 7 ลำได้ถูกโละทิ้งไปเรียบร้อยแล้ว เรือ LCS แต่ละลำมีแพกเกจค่าใช้จ่ายสำหรับการปฏิบัติภารกิจราวๆ 500 ล้านดอลลาร์ โดยที่ค่าใช้จ่ายสำหรับการปฏิบัติการรายปีของ LCS แต่ละลำจะอยู่ที่ 70 ล้านดอลลาร์
นาวีอเมริกันสามารถประหยัดทั้งเงินทองและบุคลาการได้มากมาย ด้วยการโยนทิ้งเรือ LCS ไปให้หมด
สำหรับเรือฟริเกตชั้นคอนสเตลเลชั่น ได้รับการวางตัวให้เข้าแทนที่พวกเรือฟริเกตรุ่นเก่า โดยที่จะได้รับการติดตั้งทั้งด้วยระบบป้องกันขีปนาวุธ เอจิส (AEGIS missile defense system) และชุดอุปกรณ์เซนเซอร์ต่อสู้เรือดำน้ำ (a suite of anti-submarine sensors) เรือชั้นนี้ถูกตั้งสมมุติฐานในขั้นตอนวางแผนว่าจะสามารถทำความเร็วได้อย่างเพียงพอในการติดตามให้ทันการปฏิบัติการของหมู่เรือเฉพาะกิจที่มีเรือบรรทุกเครื่องบินเป็นเรือธง ทว่าโชคร้ายเหลือเกินที่ความพยายามในการต่อเรือได้เริ่มขึ้นมา ตั้งแต่ก่อนที่การออกแบบจะเสร็จสมบูรณ์
ในตอนแรกเริ่มทีเดียว เรือฟริเกตชั้นนี้ถูกวางแผนให้ใช้วิธีแก้ไขปัญหาแบบเร่งรัดรวดเร็ว ด้วยการนำเอาวิธีการออกแบบเรือฟริเกตของอิตาลี (เรียกกันว่า FREMM) ซึ่งมีอยู่แล้วและประสบความสำเร็จมากมาประยุกต์ใช้ ทว่ากองทัพเรือได้สั่งแก้ไขเปลี่ยนแปลงจุดต่างๆ จำนวนมากจนกระทั่งงานออกแบบที่ยังไม่เสร็จสิ้นนั้นมีเพียงราวๆ 15% เท่านั้นซึ่งสอดคล้องตรงกันกับแผนการแรกเริ่ม ในตอนที่ยกเลิกนั้น หน่วยผลิตไฟฟ้าสำหรับเรือยังสร้างกันไม่เสร็จและยังไม่ได้ผ่านการทดสอบ เรื่องเช่นนี้ถือเป็นความผิดพลาดขั้นร้ายแรง เมื่อพิจารณาจากความล้มเหลวของหน่วยผลิตไฟฟ้าในโปรแกรมเรือ LCS และในเรือบรรทุกเครื่องบินของทางสหราชอาณาจักร
ในเวลาเดียวกันนี้ ขณะที่กองทัพเรือกำลังประสบความล้มเหลวทั้งในการต่อเรือและในการออกแบบเรือ ทำให้สูญเสียเงินงบประมาณไปหลายหมื่นล้านดอลลาร์ ทางกองทัพก็ยังคงเดินหน้าแผนการปลดระวางเรือลาดตระเวนชั้นไทคอนเดอโรกา (Ticonderoga class cruiser) ของตนต่อไป เวลานี้ นาวีอเมริกันได้ปลดประจำการเรือลาดตระเวนชั้นนี้ไปแล้ว 15 ลำ โดยโละทิ้งไปเลย 5 ลำ (ลำอื่นๆ ยังคงอยู่ในกองเรือรบสำรอง Reserve Fleet –พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ถูกเก็บรักษาเอาไว้เป็นอย่างดี) แล้วยังมีอีก 6 ลำซึ่งอยู่ในคิวที่จะถูกปลดประจำการ
เรือลาดตระเวนชั้นไทคอนเดอโรกา ถูกต่อขึ้นมารวม 27 ลำในช่วงระหว่างปี 1983-1994 จากนั้นกองทัพเรือยังใช้จ่ายงบประมาณไปอีกประมาณ 3,700 ล้านดอลลาร์ในการปรับปรุงยกระดับเรือลาดตระเวนชั้นนี้ 7 ลำให้ทันสมัย ด้วยเป้าหมายที่จะยืดอายุการใช้งาน
เรือลาดตระเวนที่ผ่านการปรับปรุงให้ทันสมัยแล้วรวม 4 ลำ (ได้แก่ ยูเอสเอส วิคสเบิร์ก USS Vicksburg [6], ยูเอสเอส คาวเพนส์ USS Cowpens [7] , ยูเอสเอส เลย์เตกัลฟ์ USS Leyte Gulf [8], และยูเอสเอส แอนทีทัม USS Antietam) [9] ได้ถูกปลดประจำการก่อนที่จะมีการนำเอาพวกมันมาใช้งานต่อ จึงกลายเป็นการสูญเสียงบประมาณไปประมาณ 1,840 ล้านดอลลาร์ เมื่อไม่นานมานี้นาวีอเมริกันมีการตัดสินใจว่า เรือลาดตระเวนอีก 3 ลำ (ได้แก่ ยูเอสเอส เกตตีสเบิร์ก USS Gettysburg [10], ยูเอสเอส โชซิน USS Chosin [11], และ ยูเอสเอส เคปเซนต์จอร์จ USS Cape St. George) [12] จะได้รับการต่ออายุใช้งานออกไปจนถึงปี 2029 ภายหลังเสร็จสิ้นการอัปเกรดให้ทันสมัยแล้ว โดยคาดการณ์กันว่าถึงตอนนั้นก็จะมีเรือฟริเกตชั้นคอนสเตลเลชั่นเข้ามาแทนที่ (ทว่าเวลานี้ โครงการเรือฟริเกตชั้นนี้ได้ถูกยกเลิกเสียแล้ว)
พวกเรือชั้น ไทคอนเดอโรกา ติดตั้งอาวุธต่างๆ ซึ่งใช้สนับสนุนระบบป้องกันภัยทางอากาศ เอจิส เป็นต้นว่า ระบบยิงขีปนาวุธแนวตั้ง เอ็มเค-41 (MK-41 vertical launch system) จำนวน 2 ชุด (สนับสนุนการยิงขีปนาวุธได้สูงสุด 122 ลูก) ที่สามารถยิงขีปนาวุธป้องกันภัยทางอากาศมาตรฐานได้หลายรุ่น (SM-2, SM-3, SM-6), ขีปนาวุธร่อน โทมาฮอว์ก (Tomahawk cruise missiles) และ จรวดต่อสู้เรือดำน้ำ แอสร็อค (ASROC) เรือลาดตระเวนเหล่านี้ยังมีขีปนาวุธ ซี สแปร์โรว์ รุ่นวิวัฒนาการ (Evolved Sea Sparrow missile), ปืนขนาด 5 นิ้ว 2 กระบอก, และระบบปืนยิงเร็วเคลื่อนไหวได้ด้วยตัวเองแบบ ฟาลังซ์ (Phalanx rapid-fire, self-contained gun systems) 2 ระบบ, บวกกับขีปนาวุธต่อสู้เรือแบบฮาร์พูน (Harpoon anti-ship missiles) และตอร์ปิโด มาร์ก 3 (Mark 3 torpedoes)
แทนที่จะเสียเงินเสียทองเป็นหมื่นๆ ล้านดอลลาร์กับพวกเรือรบที่ล้มเหลว ซึ่งไม่มีทางสนับสนุนกองเรือรบที่ยึดโยงอยู่กับเรือบรรทุกเครื่องบินของสหรัฐฯ มันย่อมเป็นเรื่องสมเหตุสมผลมากกว่าที่จะตั้งคำถามว่า ทำไมเราจึงกำลังปลดเรือชั้นไทคอนเดอโรกา ออกจากใช้งานอย่างรวดเร็ว ในช่วงเวลาที่กำลังจำเป็นต้องอาศัยเรือเหล่านี้เป็นอย่างยิ่ง โดยมีเรือลาดตระเวนชั้นนี้ซึ่งผ่านการอัปเกรดแล้วอย่างน้อยที่สุด 4 ลำสามารถนำกลับเข้าประจำการได้อย่างค่อนข้างรวดเร็วและด้วยค่าใช้จ่ายที่ต่ำ ขณะที่ลำอื่นๆ ก็ยังอาจจะมีคุณสมบัติเหมาะสมสำหรับการออกทะเลมากเพียงพอที่จะนำมาต่อใหม่ หรือนำเข้าประจำการกันใหม่
คำตอบที่ออกมาจากกองทัพเรือก็คือ ทางกองทัพต้องการได้เรือพิฆาตชั้นอาร์ลีเบิร์ก (Arleigh Burke destroyers) เข้าประจำการในกองทัพนาวีเพิ่มมากขึ้น โดยวางแผนเอาไว้แล้วที่จะต่อใหม่เป็นจำนวน 12 ลำ ด้วยค่าใช้จ่าย 2,500 ล้านดอลลาร์สำหรับแต่ละลำ (โดยยังไม่นับรวมพวกอาวุธ) พวกอู่ต่อเรือสหรัฐนั้นสามารถต่อเรือแบบนี้ได้ 2 ลำต่อปี ซึ่งหมายความว่าเมื่อถึงปี 2029 มีความเป็นไปได้ที่จะมีเรือใหม่ๆ ต่อสำเร็จเสร็จสิ้นรวม 6 ลำ
อย่างไรก็ดี กองทัพเรือยังคงสามารถที่จะมอบหมายภารกิจให้อู่ต่อเรือเหล่านี้ของตน จัดการนำเอาเรือชั้นไทคอนเดอโรกากลับมาดำเนินการเพื่อให้ใช้งานได้อีก ซึ่งจะเป็นการเพิ่มพูนเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่กองเรือผิวน้ำสหรัฐฯได้อย่างรวดเร็วยิ่งกว่าวิธีแก้ปัญหาอย่างอื่นๆ โดยที่ในเวลาเดียวกันนี้ โครงการอาร์ลีเบิร์กก็ยังคงเดินหน้าต่อไปได้ ขณะเดียวกัน งบประมาณที่ประหยัดได้จากการโละทิ้งเรือ LCS ซึ่งถึงอย่างไรก็เป็นเรือที่ไม่สามารถอยู่รอดได้ในเวลาสู้รบ ยังอาจนำมาช่วยเหลือเค่าใช้จ่ายสำหรับการชุบชีวิตเรือลาดตระเวนไทคอนเดอโรกาขึ้นมาใหม่
สตีเฟน ไบรเอน เป็นผู้สื่อข่าวอาวุโสของเอเชียไทมส์ และเป็นอดีตรองปลัดกระทรวงกลาโหมฝ่ายนโยบายของสหรัฐฯ ข้อเขียนชิ้นนี้ทีแรกสุดปรากฏอยู่บนจดหมายข่าว Weapons and Strategy ในแพลตฟอร์ม Substack ของเขา
เชิงอรรถ
[1] https://www.defensenews.com/naval/2025/11/26/us-navy-nixes-constellation-frigate-program-after-two-ships-half-built/
[2] https://en.wikipedia.org/wiki/Anti-access/area_denial
[3] https://en.wikipedia.org/wiki/Asymmetric_warfare
[4] https://en.wikipedia.org/wiki/Littoral_zone
[5] https://www.propublica.org/article/how-navy-spent-billions-littoral-combat-ship
[6] https://en.wikipedia.org/wiki/USS_Vicksburg_(CG-69)
[7] https://en.wikipedia.org/wiki/USS_Cowpens_(CG-63)
[8] https://en.wikipedia.org/wiki/USS_Leyte_Gulf
[9] https://en.wikipedia.org/wiki/USS_Antietam_(CG-54)
[10] https://en.wikipedia.org/wiki/USS_Gettysburg_(CG-64)
[11] https://en.wikipedia.org/wiki/USS_Chosin
[12] https://en.wikipedia.org/wiki/USS_Cape_St._George


