ประธานาธิบดี เอมมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศส เปิดเผยว่า ตนได้ยื่นคำขู่ใช้มาตรการทางภาษีกับสินค้าจีน หากปักกิ่งไม่ดำเนินการใดๆ เพื่อลดตัวเลขการค้าเกินดุล (trade surplus) ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องกับสหภาพยุโรป
ระหว่างการเยือนจีนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผู้นำฝรั่งเศสได้เรียกร้องขอให้จีนร่วมมือในการแก้ไขปัญหาความไม่สมดุลทางการค้าโลก ภูมิรัฐศาสตร์ และสิ่งแวดล้อม "ที่ไม่ยั่งยืน"
“ผมพยายามอธิบายให้จีนเข้าใจว่า ตัวเลขเกินดุลการค้าของพวกเขาเป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืน เพราะพวกเขากำลังทำลายลูกค้าของตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยการไม่นำเข้าสินค้าจากเรามากนัก” มาครง กล่าวในการสัมภาษณ์ที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ Les Echos ของฝรั่งเศสเมื่อวันอาทิตย์ (7 ธ.ค.)
“ผมบอกพวกเขาว่า หากพวกเขาไม่ตอบสนอง เราชาวยุโรปจะถูกบีบให้ต้องใช้มาตรการที่เด็ดขาดตามแบบอย่างของสหรัฐอเมริกาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เช่น การขึ้นภาษีสินค้าที่นำเข้าจากจีน”
การขาดดุลการค้าสินค้าของสหภาพยุโรปต่อจีนพุ่งสูงขึ้นเกือบ 60% นับตั้งแต่ปี 2019 ขณะที่ดุลการค้าระหว่างฝรั่งเศสซึ่งกับจีนมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่โตถึง 19 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐก็ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
ในอดีต มาครง เคยพยายามสร้างแนวร่วมที่แข็งแกร่งของยุโรปในการรับมือกับจีน โดยผลักดันให้บรัสเซลส์ใช้มาตรการกีดกันทางการค้าเพื่อชะลอการไหลเข้ามาของสินค้าจีนที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยุโรป
มาครง กล่าวกับ Les Echos ว่า อุตสาหกรรมยุโรปอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก โดยเผชิญทั้งนโยบายกีดกันทางการค้าของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ และการแข่งขันกับจีน ซึ่ง "ส่งผลกระทบกระเทือนหัวใจสำคัญของรูปแบบอุตสาหกรรมและนวัตกรรมของยุโรป"
"วันนี้เราติดอยู่ระหว่างสองสิ่งนี้ และเป็นเรื่องของความเป็นความตายของอุตสาหกรรมยุโรป เราได้กลายเป็นตลาดปรับตัว และนี่คือสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด" มาครง ระบุ
มาครง ยังกล่าวด้วยว่า เขากำลังเสนอแนวทางที่ประนีประนอมมากขึ้นต่อจีน เช่น การยกเลิกข้อจำกัดการส่งออกเครื่องจักรเซมิคอนดักเตอร์ของฝั่งยุโรป และข้อจำกัดการส่งออกแร่ธาตุหายากของฝั่งจีน
มาครง เรียกร้องให้บริษัทจีนเข้าไปลงทุนในยุโรป และ "สร้างมูลค่าและโอกาสให้กับยุโรป"
ที่มา: รอยเตอร์


