ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ มีเป้าหมายที่จะป้องกันความขัดแย้งกับจีนในเรื่องไต้หวันและทะเลจีนใต้ โดยจะใช้วิธีเสริมสร้างอำนาจทางทหารของสหรัฐฯ และพันธมิตรในภูมิภาค ตามเอกสารยุทธศาสตร์ฉบับใหม่ของสหรัฐฯ
รัฐบาล ทรัมป์ ได้กำหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหาทางการทูตที่อ่อนไหวที่สุดประเด็นหนึ่งของโลกไว้ในเอกสารยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติอย่างเป็นทางการ ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (5 ธ.ค.) เอกสารฉบับนี้เกิดขึ้นในขณะที่ปักกิ่งกำลังเพิ่มแรงกดดันต่อไต้หวันและญี่ปุ่น ซึ่งปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย ด้วยการส่งเรือออกปฏิบัติภารกิจทั่วน่านน้ำเอเชียตะวันออกในสัปดาห์นี้ ซึ่งถือเป็นการแสดงแสนยานุภาพทางทะเลครั้งใหญ่ที่สุดจนถึงปัจจุบัน
"การยับยั้งความขัดแย้งเกี่ยวกับไต้หวัน โดยหลักการแล้วก็คือการคงไว้ซึ่งความเหนือกว่าทางทหาร ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญ" เอกสารดังกล่าวระบุ ซึ่งเป็นถ้อยแถลงวิสัยทัศน์ที่รัฐบาล ทรัมป์ ส่งถึงรัฐสภาเป็นระยะๆ และเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งเทอมสองในเดือน ม.ค.
จีนมองว่าไต้หวันเป็นดินแดนของตน และปักกิ่งไม่เคยปฏิเสธการใช้กำลังเพื่อนำไต้หวันมาอยู่ภายใต้การควบคุม จีนยังมีการอ้างสิทธิในภูมิภาคอย่างกว้างขวาง รวมถึงเกือบทั้งหมดในทะเลจีนใต้ ซึ่งทำให้เกิดข้อพิพาทกับเพื่อนบ้านขนาดเล็กหลายประเทศ
สหรัฐอเมริกาไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการกับไต้หวัน แต่วอชิงตันเป็นผู้สนับสนุนระหว่างประเทศที่สำคัญที่สุดของไทเป และมีกฎหมายกำหนดให้ต้องช่วยไต้หวันจัดหาเครื่องมือในการป้องกันตนเอง ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่สร้างความรำคาญให้กับความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนมาหลายปีแล้ว
ถ้อยคำในเอกสารฉบับนี้เกี่ยวกับไต้หวันนั้นหนักแน่นยิ่งกว่ายุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติที่จัดทำขึ้นในช่วงสมัยแรกของทรัมป์ โดยเอกสารเมื่อปี 2017 มีการกล่าวถึงไต้หวัน 3 ครั้งในประโยคเดียว ซึ่งสะท้อนถึงถ้อยคำทางการทูตที่มีมายาวนาน
อย่างไรก็ตาม เอกสารยุทธศาสตร์ฉบับปรับปรุงใหม่ได้กล่าวถึงไต้หวันถึง 8 ครั้งในสามย่อหน้า และสรุปว่า "การให้ความสำคัญอย่างมากกับไต้หวันนั้นเป็นเรื่องถูกต้อง" เนื่องจากไต้หวันมีทำเลที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์ในน่านน้ำที่อุดมสมบูรณ์ด้วยการค้า และมีอำนาจเหนือตลาดการผลิตเซมิคอนดักเตอร์
เอกสารฉบับล่าสุดระบุว่า "เราจะสร้างกองทัพที่มีความสามารถในการปฏิเสธการรุกรานได้ทุกที่" ในหมู่เกาะที่ทอดยาวจากญี่ปุ่นไปจนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ "แต่กองทัพสหรัฐฯ ไม่สามารถ และไม่ควรต้องทำเช่นนี้เพียงลำพัง พันธมิตรของเราจะต้องก้าวขึ้นมาและเพิ่มการใช้จ่าย และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ ต้องดำเนินการให้มากขึ้นเพื่อการป้องกันร่วมกัน"
รายงานระบุว่า สิ่งนี้จะเสริมสร้าง "ศักยภาพของสหรัฐฯ และพันธมิตรในการปฏิเสธความพยายามใดๆ ที่จะยึดครองไต้หวัน" หรือมาตรการอื่นๆ ที่จะ "ทำให้การป้องกันเกาะแห่งนี้เป็นไปไม่ได้"
ทรัมป์ ซึ่งเป็นสมาชิกพรรครีพับลิกันมักหลีกเลี่ยงที่จะพูดตรงๆ ว่า เขาจะรับมือกับความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในกรณีไต้หวันอย่างไร ในขณะที่ โจ ไบเดน อดีตประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต เคยกล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่าในช่วงดำรงตำแหน่งระหว่างปี 2021-2025 ว่า สหรัฐฯ จะปกป้องไต้หวันหากจีนรุกราน
ความชื่นชอบที่จะทำข้อตกลงของ ทรัมป์ และความพยายามที่จะกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นกับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน ได้จุดประกายความกังวลในภูมิภาคนี้ว่า การสนับสนุนของสหรัฐฯ ที่มีต่อไต้หวันและพันธมิตรในภูมิภาค ตั้งแต่โตเกียวไปจนถึงมะนิลา จะลดน้อยลง ทรัมป์ วางแผนที่จะเดินทางไปยังกรุงปักกิ่งในเดือน เม.ย. ปีหน้า ซึ่งผู้นำทั้งสองจะหารือกันเรื่องการขยายเวลาสงบศึกในสงครามการค้า
เดือนที่แล้ว นายกรัฐมนตรี ซานาเอะ ทาคาอิจิ ของญี่ปุ่น ได้สร้างความไม่พอใจให้กับปักกิ่ง เมื่อเธอกล่าวต่อรัฐสภาว่า การโจมตีไต้หวันของจีนถือเป็นภัยคุกคามต่อญี่ปุ่น และอาจเป็นเหตุผลให้ญี่ปุ่นต้องตอบโต้ทางทหาร
รอยเตอร์รายงานว่า ทรัมป์ ได้ขอร้อง ทาคาอิจิ เป็นการส่วนตัวว่าอย่าทำให้ข้อพิพาทกับจีนบานปลายไปมากกว่านี้
กระนั้นก็ดี ทรัมป์ ยังได้ลงนามในกฎหมายฉบับใหม่ที่กำหนดให้รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องตรวจสอบปฏิสัมพันธ์กับไทเปอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ยังอนุมัติการขายเครื่องบินขับไล่และชิ้นส่วนเครื่องบินอื่นๆ ให้กับไต้หวันในราคา 330 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทั้งสองกฎหมายนี้ถือเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการสนับสนุนไต้หวัน
ทรัมป์ ยังกดดันให้ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญในภูมิภาคเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมด้วย
ที่มา: รอยเตอร์


