ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน เดินทางไปเยือนนครเฉิงตูในมณฑลเสฉวนพร้อมกับประธานาธิบดี เอมมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศสวันนี้ (5 ธ.ค.) ซึ่งสะท้อนถึงการให้เกียรติเป็นพิเศษแก่ผู้นำประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของยุโรป และชี้ให้เห็นถึงสถานะอันสำคัญของปารีสในความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับอียู
เมื่อครั้งที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เดินทางเยือนจีนครั้งประวัติศาสตร์ในการดำรงตำแหน่งสมัยแรกเมื่อปี 2017 สี จิ้นผิง ได้จัดงานเลี้ยงอาหารค่ำส่วนตัวอย่างหรูหราภายในพระราชวังต้องห้ามของกรุงปักกิ่ง ทว่าการเดินทางก็ยังจำกัดอยู่แค่ในเมืองหลวงของจีนเท่านั้น
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์ตั้งข้อสังเกตว่า การเยือนจีนของผู้นำฝรั่งเศสจนถึงขณะนี้ยังไม่ได้ผลลัพธ์ใดๆ ที่เป็นรูปธรรม นอกไปเสียจากการเสริมสร้างความน่าเชื่อถือทางการทูตให้กับปักกิ่ง ในขณะที่ผู้นำทั่วโลกต่างหันเข้าหาจีนเพื่อขอหลักประกันทางเศรษฐกิจจากมาตรการภาษีของ ทรัมป์
นักวิเคราะห์ชี้ว่า การเยือนครั้งนี้ยังเปิดโอกาสให้ มาครง ได้แสดงศักยภาพทางการเมือง หลังผ่านช่วงฤดูร้อนที่ยากลำบากในแวดวงการเมืองภายในประเทศ
นักลงทุนต่างเฝ้าจับตาดูว่า วันที่ประธานาธิบดีฝรั่งเศสสร้างความประหลาดใจให้กับนักวิ่งคนอื่นๆ ในสวนสาธารณะทะเลสาบจินเฉิง ก่อนจะไปชมเขื่อนประวัติศาสตร์ร่วมกับ สี จิ้นผิง จะจบลงด้วยข้อตกลงทางการค้าขนาดใหญ่ หรือความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหภาพยุโรปและจีนจะคลี่คลายลงหรือไม่ เนื่องจาก มาครง นั้นเดินทางเยือนจีนอย่างเป็นทางการเป็นครั้งที่ 4 แล้ว และมีบรรดาผู้นำบริษัทใหญ่ๆ ของฝรั่งเศสติดตามไปด้วยหลายคน
การประชุมที่เมืองหลวงของจีนเมื่อวันพฤหัสบดี (4) นำไปสู่ข้อตกลงความร่วมมือเพียง 12 ฉบับ ซึ่งครอบคลุมประเด็นต่างๆ เช่น การเพิ่มจำนวนประชากร พลังงานนิวเคลียร์ และการอนุรักษ์แพนด้า และไม่ได้มีการเปิดเผยมูลค่าทางการเงิน
“ดิฉันคิดว่าพวกเขา (ฝรั่งเศส) คงคิดว่า สี จิ้นผิง คงจะเสนออะไรได้มากมาย เพราะยุโรปกำลังเตรียมหลักความมั่นคงทางเศรษฐกิจนี้อยู่” อลิเซีย การ์เซีย-เอร์เรโร นักวิจัยอาวุโสจากสถาบันวิจัยบรูเกล กล่าว
“มาครง อาจรู้สึกว่า เมื่อพิจารณาจากอิทธิพลของตัวเขาเอง และความจริงที่ว่าฝรั่งเศสเป็นประเทศที่ผลักดันความมั่นคงทางเศรษฐกิจมากที่สุด พวกเขาน่าจะได้ข้อตกลงดีๆ แต่เปล่าเลย”
อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีฝรั่งเศสยังถือว่าได้ชัยชนะในแง่การประชาสัมพันธ์ เนื่องจากได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากนักศึกษามหาวิทยาลัยเสฉวนซึ่งมารวมตัวกันก่อนการกล่าวสุนทรพจน์ที่กระตุ้นให้จีนทบทวนบทบาทของตนเองในเวทีโลก
“เรากำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งการแตกแยกอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” มาครง กล่าว “โลกที่เราสร้างขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานที่เราเรียกว่าพหุภาคีนิยม ดังนั้น ความร่วมมือระหว่างมหาอำนาจจึงกำลังแตกร้าวและแตกหัก”
มาครง ยังโจมตีแนวคิดของจีนที่ว่าอำนาจของตะวันตกกำลังเสื่อมถอย
“หลายคนจะพยายามบอกคุณว่า ยุโรปนั้นเก่าแล้ว” เขากล่าว “ประเทศร่ำรวยที่คุณพบในกลุ่ม G7 นั้นหยิ่งผยอง และตะวันตกกำลังดูถูกกลุ่มประเทศ Global South แต่ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงเรื่องเล่า เป็นเพียงเรื่องแต่ง”
ปักกิ่งอาจมองว่าความสัมพันธ์ฉันมิตรกับฝรั่งเศสเป็นหนทางหนึ่งที่จะขยายอิทธิพลภายในสหภาพยุโรปที่มีสมาชิก 27 ประเทศ ทว่าจีนก็เผชิญข้อจำกัดไม่น้อยในการเสนอผลประโยชน์สำคัญๆ ให้กับปารีส
เป็นที่คาดหมายกันว่า สี จะไม่ลงนามอนุมัติคำสั่งซื้อเครื่องบินแอร์บัส 500 ลำที่รอคอยกันมานาน เพราะนั่นจะไปกระทบต่อศักยภาพของจีนในการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งกำลังกดดันให้จีนเพิ่มการสั่งซื้อเครื่องบินโบอิ้ง
สี จิ้นผิง ยังไม่น่าจะผ่อนปรนเงื่อนไขสำหรับผู้ผลิตบรั่นดีคอนญัค หรือผู้ผลิตเนื้อหมูของฝรั่งเศส เพราะการทำเช่นนั้นจะทำให้อำนาจต่อรองของปักกิ่งเกี่ยวกับมาตรการรีดภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในจีนของอียูลดลง
สี จิ้นผิง ยังไม่สามารถมอบแนวทางแก้ไขสงครามในยูเครนให้ มาครง นำกลับเสนอยุโรปได้ เนื่องจากจีนเพิ่งยืนยันการสนับสนุนรัสเซียอีกครั้ง
การเสด็จฯ เยือนจีนล่าสุดของกษัตริย์เฟลิเปที่ 6 แห่งสเปน และ ลาร์ส คลิงเบล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของเยอรมนี ก็ให้ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมในระดับต่ำเช่นเดียวกัน
ที่ปรึกษารัฐบาลจีนคนหนึ่งกล่าวว่า ปักกิ่งรู้สึกว่าตนเป็นฝ่ายได้เปรียบ และกำลังรอให้บรัสเซลส์อ่อนข้อและยอมรับแผนราคาขั้นต่ำสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า แทนที่จะเป็นภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บในปัจจุบัน
“ตอนนี้พวกเขา (สหภาพยุโรป) ตระหนักถึงความซับซ้อนของปัญหานี้แล้ว หลังจากที่ ทรัมป์ ได้เป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง พวกเขาเริ่มตระหนักว่าพึ่งพาสหรัฐฯ มากเกินไป... ตอนนี้ยุโรปต้องการการค้าแบบต่างตอบแทนกับจีนมากขึ้น” ที่ปรึกษาผู้ขอสงวนนามคนหนึ่งกล่าว
“สหภาพยุโรปควรพิจารณานโยบายต่อจีนอย่างจริงจัง และไม่ควรนำไปผูกติดกับประเด็นรัสเซียและยูเครนมากเกินไป” เขากล่าวเสริม
ที่มา: รอยเตอร์


