ประธานาธิบดี ไล่ ชิงเต๋อ แห่งไต้หวันกล่าวในการให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ว่า เศรษฐกิจจีนกำลังอยู่ในภาวะย่ำแย่ และประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ควรมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ไม่ใช่ "การขยายอาณาเขต"
จีนซึ่งมองว่าเกาะไต้หวันที่ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยเป็นดินแดนของตนเองได้เพิ่มแรงกดดันทั้งทางทหารและการเมืองต่อไต้หวันในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ขณะที่ไต้หวันยืนกรานปฏิเสธการอ้างสิทธิของปักกิ่ง
ในการกล่าวสุนทรพจน์ต่อการประชุมสุดยอด DealBook Summit ของนิวยอร์กไทมส์ ไล่ เผยคาดการณ์เศรษฐกิจไต้หวันว่าจะเติบโตถึง 7.37% ในปีนี้ "ขณะที่สถาบันการเงินระหว่างประเทศคาดการณ์ว่า การเติบโตของจีนจะสูงกว่า 4% เพียงเล็กน้อยเท่านั้น"
"เศรษฐกิจจีนกำลังประสบปัญหาอย่างแท้จริง" ไล่ กล่าวตามบันทึกการสนทนาที่สำนักงานของเขาเผยแพร่เมื่อวันพฤหัสบดี (4 ธ.ค.)
"เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ในขณะที่จีนกำลังเผชิญกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจ ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง จะไม่มุ่งเน้นไปที่การขยายอาณาเขต แต่มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนชาวจีน" เขากล่าวเสริม
“ไต้หวันยินดีที่จะช่วยเหลือ และให้ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจเหล่านี้” ไล่ กล่าว โดยไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม
สำนักงานกิจการไต้หวันของจีนยังไม่ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นในประเด็นนี้
สถาบันการเงินระหว่างประเทศและธนาคารต่างๆ เช่น กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ธนาคารโลก โกลด์แมนแซคส์ และสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด คาดการณ์ว่า อัตราการเติบโตของจีนในปี 2025 จะอยู่ระหว่าง 4.5% ถึง 5%
จีนซึ่งเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกกำลังอยู่ในเส้นทางที่จะบรรลุเป้าหมายการเติบโตในปีนี้ที่ประมาณ 5% ด้วยการสนับสนุนนโยบายและการส่งออกที่ยืดหยุ่น ซึ่งได้รับแรงหนุนจากผู้ค้าที่เร่งส่งมอบสินค้าไปยังสหรัฐอเมริกา ท่ามกลางความกังวลว่าภาษีศุลกากรอาจเพิ่มสูงขึ้นอีก
อย่างไรก็ตาม ความไม่สมดุลทางเศรษฐกิจดูจะแย่ลงในปีนี้ เนื่องจากผลผลิตภาคโรงงานยังสูงกว่าความต้องการ และนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าแรงกดดันจากภาวะเงินฝืดจะยังคงมีต่อไปในปีหน้า แม้ว่ารัฐบาลจีนจะเพิ่มความพยายามในการควบคุมกำลังการผลิตส่วนเกินและสงครามราคาระหว่างบริษัทต่างๆ แล้วก็ตาม
สำนักงานสถิติของไต้หวันเปิดเผยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า เศรษฐกิจของไต้หวันที่เน้นด้านเทคโนโลยีจะเติบโตในอัตราที่เร็วที่สุดในรอบ 15 ปี โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์
ที่มา: รอยเตอร์


