นายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู แห่งอิสราเอล ได้ขอการอภัยโทษจากประธานาธิบดีเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (30 พ.ย.) ในคดีทุจริตที่ดำเนินมายาวนาน โดยให้เหตุผลว่ากระบวนการทางอาญาเป็นอุปสรรคต่อความสามารถในการบริหารประเทศของเขา และการอภัยโทษจะส่งผลดีต่ออิสราเอล
เนทันยาฮู ซึ่งรั้งเก้าอี้นายกรัฐมนตรียาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์รัฐยิว ปฏิเสธข้อกล่าวหาเรื่องการติดสินบน การฉ้อโกง และการละเมิดความไว้วางใจ ขณะที่ทนายความของเขาระบุในจดหมายถึงสำนักงานประธานาธิบดีว่า นายกรัฐมนตรียังคงเชื่อว่ากระบวนการทางกฎหมายจะนำไปสู่การพ้นผิดอย่างสมบูรณ์
"ทนายความของผมได้ส่งคำร้องขออภัยโทษไปยังประธานาธิบดีในวันนี้ ผมคาดว่าใครก็ตามที่ต้องการผลประโยชน์ของประเทศจะสนับสนุนการดำเนินการนี้" เนทันยาฮู กล่าวในถ้อยแถลงสั้นๆ ผ่านคลิปวิดีโอที่เผยแพร่โดยพรรคลิคุดของเขา
ทั้ง เนทันยาฮู ซึ่งถูกไต่สวนคดีมา 5 ปี และทนายความของเขา ต่างก็ไม่ได้ยอมรับผิดแต่อย่างใด
ยาอีร์ ลาปิด ผู้นำฝ่ายค้านอิสราเอล ระบุว่าไม่ควรมีการอภัยโทษ หาก เนทันยาฮู ไม่ยอมรับผิด แสดงความสำนึกผิด และถอนตัวจากเส้นทางการเมืองทันที
โดยทั่วไปแล้ว การอภัยโทษในอิสราเอลจะได้รับการอนุมัติก็ต่อเมื่อกระบวนการทางกฎหมายสิ้นสุดลง และผู้ต้องหาถูกตัดสินว่ามีความผิดแล้ว แต่ทนายความของ เนทันยาฮู โต้แย้งว่า ประธานาธิบดีสามารถเข้าแทรกแซงได้หากผลประโยชน์ของสาธารณะตกอยู่ในความเสี่ยงเช่นในกรณีนี้ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเยียวยาความแตกแยกและเสริมสร้างความสามัคคีในชาติ
ด้านสำนักงานของประธานาธิบดี ไอแซค เฮอร์ซ็อก ระบุว่า คำขอดังกล่าวมีความ "พิเศษ" และมี "นัยสำคัญ" ซึ่งประธานาธิบดี "จะพิจารณาคำขอนี้ด้วยความรับผิดชอบและจริงใจ" หลังจากรับฟังความเห็นที่เกี่ยวข้อง
ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ได้เขียนจดหมายถึง เฮอร์ซ็อก ในเดือนนี้เพื่อขอให้เขาพิจารณาอภัยโทษแก่นายกรัฐมนตรี โดยระบุว่า คดีที่ เนทันยาฮู ถูกฟ้องร้องนั้นเป็น "การดำเนินคดีทางการเมืองที่ไม่เป็นธรรม"
สำนักงานของ เฮอร์ซ็อก ระบุว่า คำร้องจะถูกส่งต่อไปยังแผนกอภัยโทษในกระทรวงยุติธรรมตามแนวทางปฏิบัติมาตรฐาน เพื่อรวบรวมความคิดเห็น ก่อนจะนำส่งไปยังที่ปรึกษากฎหมายของประธานาธิบดี ซึ่งจะจัดทำข้อเสนอแนะสำหรับประธานาธิบดี
ยาริฟ เลวิน รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมอิสราเอล เป็นสมาชิกพรรคลิคุดของเนทันยาฮู และยังเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดของนายกรัฐมนตรีด้วย
ทนายความของ เนทันยาฮู โต้แย้งในจดหมายว่า การดำเนินคดีอาญาต่อเขาได้ทำให้ความแตกแยกในสังคมทวีความรุนแรงขึ้น และการยุติการพิจารณาคดีเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการปรองดองในระดับชาติ พวกเขายังระบุด้วยว่า การพิจารณาคดีในศาลที่ถี่ขึ้นเรื่อยๆ นั้นเป็นภาระหนักอึ้ง ในขณะที่นายกรัฐมนตรีกำลังพยายามบริหารประเทศ
“ผมต้องไปให้การสัปดาห์ละ 3 ครั้ง... นั่นเป็นข้อเรียกร้องที่เป็นไปไม่ได้ และไม่ได้ถูกเรียกร้องจากประชาชนคนอื่น” เนทันยาฮู กล่าวในคำแถลงผ่านวิดีโอ โดยเน้นย้ำว่า ตนได้รับความไว้วางใจจากประชาชนจากการชนะการเลือกตั้งหลายครั้ง
ในปี 2019 เนทันยาฮูถูกฟ้องร้องใน 3 คดีที่มีความเกี่ยวเนื่องกัน โดยคดีส่วนใหญ่เกี่ยวกับการกล่าวหาว่าเขาให้ความช่วยเหลือแก่บุคคลสำคัญทางธุรกิจเพื่อแลกกับของขวัญ และการนำเสนอข่าวที่สร้างความเห็นอกเห็นใจ
เนทันยาฮู ปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าไม่ได้ทำอะไรผิด
ขณะเดียวกัน พันธมิตรร่วมรัฐบาลก็ได้ออกคำแถลงสนับสนุนคำร้องขออภัยโทษของ เนทันยาฮู ในนั้นรวมถึง อิตามาร์ เบน-กวีร์ รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงแห่งชาติ และ เบซาเลล สโมตริช รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง
ยาอีร์ โกลัน นักการเมืองฝ่ายค้านและอดีตรองผู้บัญชาการทหารสูงสุดอิสราเอล เรียกร้องให้ เนทันนาฮู ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และขอให้ประธานาธิบดีอย่าอภัยโทษแก่เขา
เนทันยาฮู ถือเป็นหนึ่งในบุคคลทางการเมืองที่สร้างความขัดแย้งมากที่สุดของอิสราเอล โดยได้รับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งแรกในปี 1996 นับตั้งแต่นั้นมา เขาก็ดำรงตำแหน่งทั้งเป็นรัฐบาลและฝ่ายค้าน และกลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหลังการเลือกตั้งในปี 2022
การเลือกตั้งในอิสราเอลครั้งต่อไปมีกำหนดจัดขึ้นในเดือน ต.ค. ปี 2026 และผลสำรวจความคิดเห็นจำนวนมากบ่งชี้ว่า รัฐบาลผสมของเนทันยาฮูซึ่งมีแนวคิดขวาจัดที่สุดในประวัติศาสตร์อิสราเอล จะต้องดิ้นรนอย่างหนักเพื่อให้ได้ที่นั่งมากพอที่จะจัดตั้งรัฐบาล
ตลอดเส้นทางอาชีพนักการเมืองของเขา เนทันยาฮู ได้สร้างชื่อเสียงในด้านการให้ความสำคัญกับประเด็นความมั่นคงและเศรษฐกิจ แต่ก็ต้องเผชิญกับข้อกล่าวหาเรื่องการทุจริตคอรัปชันเช่นกัน
หลังจากวันที่ 7 ต.ค. ปี 2023 ซึ่งกลุ่มฮามาสเปิดฉากโจมตีภาคใต้อิสราเอล ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ที่สะเทือนขวัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ และเป็นการโจมตีชาวยิวที่นองเลือดที่สุดนับตั้งแต่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เนทันานาฮู ได้สั่งตอบโต้ด้วยการเปิดฉากสงครามอันรุนแรงในฉนวนกาซา ซึ่งคร่าชีวิตชาวปาเลสไตน์ไปแล้วกว่า 60,000 คน และทำให้อาคารบ้านเรือนส่วนใหญ่พังราบเป็นหน้ากลอง จนก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์และประณามจากนานาชาติอย่างกว้างขวาง
รัฐบาลของ เนทันยาฮู ยังทำให้กลุ่มฮามาสและกลุ่มติดอาวุธฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอนอ่อนแอลงอย่างมาก และในปีนี้เขาได้เปิดฉากสงครามกับอิหร่านซึ่งทำลายโครงสร้างพื้นฐานทางทหารที่สำคัญ
ที่มา: รอยเตอร์


