การพัฒนาเศรษฐกิจคือรากฐานสำคัญของรัฐบาลนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต แห่งกัมพูชา นับตั้งแต่ที่ก้าวขึ้นมาสืบทอดอำนาจ ฮุนเซน บิดาของเขาในปี 2023 เขายึดมั่นตำราของผู้เป็นพ่อ หลักการประชาธิปไตยอย่างเช่นหลักนิติรัฐ มีบทบาทรองในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามเวลานี้ยุทธศาสตร์ของฮุน มาเนต ในการกระตุ้นกระแสชาตินิยมพร้อมๆกับแสวงหาวาระแห่งการพัฒนา ดูเหมือนจะก่อผลลัพธ์ที่ผสมผสาน และมันเสี่ยงส่งผลกระทบร้ายแรงต่อเศรษฐกิจ ตามรายงานของ อีสต์เอเชียฟอรัม อ้างอิงความเห็นของผู้เชี่ยวชาญรายหนึ่ง
สกอตต์ รอว์ลินสัน นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยอีสต์แองเกลีย ในสหราชอาณาจักร เขียนบทความลงบนเว็บไซต์อีสต์แองเกลีย แพลตฟอร์มวิเคราะห์เศรษฐกิจ การเมือง ธุรกิจ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและนโยบายสาธารณะ เมื่อวันอังคาร(25พ.ย.) ระบุว่ารัฐบาลฮุน มาเนต กำลังหาทางรักษาลู่ทางในการพัฒนาประเทศไปพร้อมๆกับบริหารจัดการกับความรู้สึกชาตินิยมเขมร ซึ่งโหมกระพือขึ้นระหว่างเกิดความขัดแย้งตามแนวชายแดนกับไทย และมันก่อคำถามผุดขึ้นมาว่าแท้จริงแล้ว ฮุน มาเนต กำลังได้หรือเสียในความพยายามรักษาสมดุลระหว่างชาตินิยมกับวาระแห่งการพัฒนา
บทความเขียนว่ารัฐบาลของฮุน มาเนต ยึดติดกับต้นแบบระบอบอำนาจนิยมเพื่อการพัฒนา ที่พวกผู้นำมักจำกัดหลักการประชาธิปไตยต่างๆอย่างเช่นเสรีภาพของสื่อมวลชนและนักวิชาการ ขณะเดียวกันก็หยิบยกประเด็นพัฒนาเศรษฐกิจ เป็นหนทางแก้ไขปัญหาสังคม ทั้งนี้ด้วยการเติบโตทางเศรษฐกิจคือรากฐานทั้งหมดทั้งมวล นั่นหมายความว่าความล้มเหลวใดๆในการบริหารเศรษฐกิจของประเทศ อาจบ่อนทำลายร้ายแรงต่อความชอบธรรมของรัฐบาล
รอว์ลินสัน ระบุว่าสามารถสังเกตเห็นความพยายามมากมายเหล่านั้นในกัมพูชา เฟสแรกคือยุทธศาสตร์ห้าเหลี่ยมที่กำหนดกรอบความทะเยอทะยานของรัฐบาล ที่หวังให้กัมพูชาก้าวสู่สถานะเป็นรัฐที่มีรายได้ปานกลางระดับบนภายในปี 2023 และสถานะมีรายได้สูงในปี 2050 แต่การปราบปรามทางการเมือง ความรุนแรงและนิติสงครามยังคงฉุดรั้งให้การเมืองภายในประเทศเสื่อมทรามลง
แผนของฮุน มาเนต คือปรับปรุงและพัฒนาเศรษฐกิจกัมพูชาอย่างครอบคลุม รัฐบาลเคลื่อนไหวกระตุ้นและกระจายความเสี่ยงการลงทุนโดยตรงของต่างชาติ และมุ่งมั่นเสริมความเข้มแข็งและปรับปรุงภาคการเกษตรให้ทันสมัย มีการโครงสร้างพื้นฐานสำคัญๆเพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันของกัมพูชา อย่างเช่นการขยายท่าเรือในสีหนุวิลล์และการก่อสร้างคลองฟูนันเตโช
ในภาคการท่องเที่ยวก็พบเห็นการลงทุนอย่างมาก สนามบินนานาชาติใหม่เสียมราฐ-อังกอร์ เปิดใช้งานอย่างเป็นทางการในปี 2023 ตามด้วยท่าอากาศยานนานาชาติเตโชในปี 2025 โครงการโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้มีจุดประสงค์ 2 ทาง ทั้งด้านพัฒนาเศรษฐกิจและฉากภาพแห่งความชอบธรรมภายในของรัฐบาล
อย่างไรก็ตามรอยร้าวในการพัฒนาปรากฏขึ้้น ภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน บ่อเกิดแหล่งลงทุนสำคัญของกัมพูชา ได้ส่งผลกระทบทางอ้อมอย่างรุนแรง ขณะที่ประเด็นขาดความโปร่งใสด้านเงินทุนในโครงการคลองเตโชก็ได้ก่อคำถามต่างๆนานา สัญญาณการถดถอยในภาคก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ พิสูจน์ว่าการเติบโตนั้นไม่มั่นคงเลย และยิ่งพอมาเจอเรื่องสแกมไซเบอร์ ชื่อเสียงของกัมพูชาได้รับความเสียหายอย่างหนัก และแถมยังถูกนานาชาติคว่ำบาตรอีก
เหตุปะทะตามแนวชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ลุกลามสู่การปะทะรุนแรงในเดือนกรกฏาคม 2025 ทำให้สันติภาพแตกสลาย ทั้งที่สันติภาพและเสถียรภาพทางการเมืองคือสิ่งที่ ฮุน มาเนต มองว่ามีความจำเป็นต้องการพัฒนาเศรษฐกิจ
แต่กระนั้น รอว์ลินสัน กล่าว่าประเด็นพิพาทกับไทยถูกหยิบยกให้กลายมาเป็นแก่นกลางของการส่งเสริมความสามัคคีของชาติ โดย ฮุนเซน เข้ามามีบทบาทสำคัญในการโหมกระพือความรู้สึกชาตินิยมและแบนห้ามนำเข้าละคร ทีวี ผลไม้และผักจากไทย รัฐบาลวางสถานะตนเองในฐานะผู้ปกป้องผลประโยชน์แห่งชาติกัมพูชาจากการรุกรานของภายนอก
อย่างไรก็ตาความขัดแย้งที่ยืดเยื้อและผลกระทบที่เป็นอันตราย ทำให้ธนาคารพัฒนาเอเชีย(เอดีบี) ปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของกัมพูชาจาก 6.1% เหลือ 4.9% ในปี 2025 และปรับลดจาก 6.2% เหลือ 5.0% ในปี 2026 สืบเนื่องจากความตึงเครียดชายแดนและความไม่แน่นอนในตลาดส่งออกไปยังสหรัฐฯ นอกจากนี้แล้วรัฐบาลยังเจอแรงกดดันเพิ่มเติมจากการที่ต้องใช้จ่ายเงินทางสังคมค้ำจุนประชาชนผู้ผลัดถิ่นฐานอีกทางหนึ่ง
เคสเกี่ยวกับภาคท่องเที่ยวยังตอกย้ำให้เห็นถึงความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งกับไทย ที่มีต่อวาระการพัฒนาของรัฐบาล ยกตัวอย่างเช่นรายการกอล์ฟเอเชียนทัวร์ "อินเตอร์เนชันแนล ซีรีย์ แคมโบเดีย" ได้ถูกยกเลิกไป สืบเนื่องจากความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างไทยกับกัมพูชา
จำนวนนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน รายงานสถิติประจำเดือนสิงหาคม 2025 ของกระทรวงท่องเที่ยวกัมพูชา บ่งชี้ว่านักเดินทางระหว่างประเทศขาเข้า เพิ่มขึ้น 4.4% ในเดือนพฤษภาคม เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน แต่หลังจากความเป็นปรปักษ์เริ่มต้นขึ้น นักเดินทางระหว่างประเทศขาเข้าลดลงราวๆ 20% ถึง 40% ผู้มาเยือนจากไทยลดลง 28.2% นับตั้งแต่ปี 2024 แม้นักท่องเที่ยวจากจีนจะเพิ่มขึ้นถึง 45.7% ก็ตาม
ในขณะที่กัมพูชาควรมุ่งเน้นแหล่งที่มาที่หลากหลายของนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศ ตอบสนองต่อการที่สูญเสียนักท่องเที่ยวจากไทย แต่การฟื้นคืนที่ยั่งยืนจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีการกอบกู้สภาพแวดล้อมที่ปราศจากความขัดแย้งและมีเสถียรภาพแล้วเท่านั้น
บทความของ สกอตต์ รอว์ลินสัน ปิดท้ายว่ากรณีของกัมพูชาแสดงให้เห็นถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ไม่มั่นคงและความเสี่ยงต่างๆที่เกิดจากความรู้สึกชาตินิยม ในขณะที่การปลุกกระแสชาตินิยมอาจช่วยเรียกคะแนนนิยมแก่รัฐบาลในระยะสั้น แต่ความขัดแย้งที่ลากยาวสวนทางกับการรับประกันสันติภาพ เสถียรภาพและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ดังนั้นความสำเร็จในการสร้างและแสวงหากำไรจากช่องทางแห่งการพัฒนา จำเป็นต้องบริหารจัดการกระแสชาตินิยมอย่างระมัดระวัง
(ที่มา:อีสต์แองเกลีย)


