ผู้ว่าราชการจังหวัดนีงาตะของญี่ปุ่นอนุมัติให้เริ่มเดินเครื่องโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ คาชิวาซากิ-คาริวะ (Kashiwazaki-Kariwa Nuclear Power Plant) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อวานนี้ (21 พ.ย.) ขณะที่ญี่ปุ่นกำลังพยายามฟื้นฟูภาคส่วนนิวเคลียร์และลดการนำเข้าเชื้อเพลิงฟอสซิล
การอนุมัติจาก ฮิเดโยะ ฮานาซูมิ ผู้ว่าราชการจังหวัดนีงาตะ จะช่วยขจัดอุปสรรคสำคัญสุดท้ายสำหรับบริษัท โตเกียว อิเล็กทริก เพาเวอร์ จำกัด (TEPCO) ผู้ดำเนินการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ให้ดำเนินการตามแผนการเริ่มเดินเครื่องเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดใหญ่ที่สุด 1-2 ตัวภายในโรงไฟฟ้า คาชิวาซากิ-คาริวะ
เนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้ามีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นจากการขยายตัวของธุรกิจศูนย์ข้อมูลและเซมิคอนดักเตอร์ “การหยุดยั้งสิ่งที่ผ่านมาตรฐานการกำกับดูแลของประเทศโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรจึงเป็นเรื่องยาก” ฮานาซูมิ ระบุในการแถลงข่าว
ฮานาซูมิ ยืนยันว่า ตนจะขอให้สภาจังหวัดโหวตลงมติไว้วางใจเกี่ยวกับการตัดสินใจของตนในการประชุมสามัญประจำปีที่จะเริ่มต้นในวันที่ 2 ธ.ค. พร้อมย้ำว่าความกังวลของผู้อยู่อาศัยในท้องถิ่น ความพยายามด้านความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง และการรับมือกับเหตุฉุกเฉิน ยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องได้รับการดูแล
เรียวเซ อาคาซาวะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น กล่าวว่าการอนุมัติดังกล่าว ซึ่งเมื่อได้รับการอนุมัติจากสภาแล้ว จะครอบคลุมเตาปฏิกรณ์หมายเลข 6 และหมายเลข 7 ซึ่งเป็นสองเตาปฏิกรณ์ที่ใหญ่ที่สุดในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งนี้ โดยเตาปฏิกรณ์หมายเลข 6 เพียงเตาปฏิกรณ์เดียวสามารถปรับปรุงสถานการณ์อุปทาน-อุปสงค์ในเขตโตเกียวซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความต้องการใช้พลังงานสูงได้ 2%
เตาปฏิกรณ์ทั้งสองเตาสามารถผลิตไฟฟ้ารวมกันได้ 2,710 เมกะวัตต์ หรือประมาณ 1 ใน 3 ของกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ คาชิวาซากิ-คาริวะ ซึ่งอยู่ที่ 8,212 เมกะวัตต์ ขณะที่ TEPCO ระบุว่า มีแผนที่จะปลดระวางเตาปฏิกรณ์บางตัวจากอีก 5 ตัวภายในโรงไฟฟ้าแห่งนี้
การเริ่มเดินเครื่องเตาปฏิกรณ์ภายในโรงไฟฟ้าคาชิวาซากิ-คาริวะ จะถือเป็นครั้งแรกของ TEPCO นับตั้งแต่เหตุการณ์สึนามิในเดือน มี.ค. ปี 2011 ได้ทำลายโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ ไดอิจิ และจะถือเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญสำหรับญี่ปุ่น ซึ่งหลังจากภัยพิบัติดังกล่าวก็ได้สั่งปิดเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ทั้ง 54 ตัวในขณะนั้น ทำให้ต้องพึ่งพาการนำเข้าเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างมาก ซึ่งมีความเสี่ยงต่อภาวะชะงักงันด้านการผลิต และการหยุดชะงักของอุปทาน
ฮานาซูมิ กล่าวว่า ชาวเมืองนีงาตะยังคงมีความเห็นแตกต่างกันระหว่างฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายคัดค้าน พร้อมเสริมว่าการให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับมาตรการความปลอดภัยน่าจะช่วยสร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชนในพื้นที่
นายกรัฐมนตรี ซานาเอะ ทาคาอิจิ ซึ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนที่แล้ว กล่าวว่า เธอสนับสนุนให้มีการผลิตไฟฟ้านิวเคลียร์เพิ่มขึ้นเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงาน และเพื่อแก้ไขปัญหาต้นทุนพลังงานนำเข้า ซึ่งคิดเป็น 60% ถึง 70% ของการผลิตไฟฟ้าของญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นใช้จ่ายเงิน 10.7 ล้านล้านเยน (6.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในปีที่แล้วสำหรับก๊าซธรรมชาติเหลวและถ่านหินนำเข้า ซึ่งเป็น 1 ใน 10 ของต้นทุนการนำเข้าทั้งหมด
มิโนรุ คิฮาระ เลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น กล่าวเมื่อวันศุกร์ (21) ว่า "การเริ่มการผลิตไฟฟ้า (ที่โรงไฟฟ้าคาชิวาซากิ-คาริวะ) อีกครั้ง...มีความสำคัญอย่างยิ่งในแง่ของการลดราคาไฟฟ้า และการรักษาแหล่งพลังงานที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ"
ที่มา: รอยเตอร์


