ไต้ฝุ่น “คัลแมกี” ขึ้นฝั่งที่จังหวัดซาลาย ทางภาคกลางเวียดนามแล้วในคืนวันพฤหัสฯ (6 พ.ย.) โดยที่ทางการฮานอยได้สั่งการเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นรับมือ มีการอพยพผู้คนออกจากพื้นที่ต่างๆ ในเส้นทางของหนึ่งในพายุซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปมากที่สุดของโลกประจำปีนี้ ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตในฟิลิปปินส์สืบเนื่องจากพายุลูกนี้เคลื่อนผ่าน ได้เพิ่มเป็นอย่างน้อย 142 คน และสูญหายอีกกว่า 100 คน
กระทรวงสิ่งแวดล้อมเวียดนามแถลงว่า ขณะไต้ฝุ่นลูกนี้ขึ้นฝั่งเวียดนามนั้น มีความเร็วลมต่อเนื่องขึ้นไปถึง 149 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และมีลมกรรโชกแรงซึ่งเร็วยิ่งกว่านี้
ไต้ฝุ่นคัลแมกี ซึ่งมีความเร็วลมเพิ่มขึ้นขณะมุ่งหน้าสู่ภาคกลางของเวียดนาม สร้างความกังวลว่าจะซ้ำเติมความเสียหายจากอุทกภัยยาวนานหนึ่งสัปดาห์ที่คร่าชีวิตประชาชนถึง 47 คนในประเทศนี้
สำนักงานสภาพอากาศเวียดนามคาดว่า ในตอนขึ้นฝั่ง คัลแมกี อาจทำให้เกิดคลื่นสูง 8 เมตรและคลื่นพายุซัดฝั่งรุนแรง
นอกจากนั้นหน่วยงานพยากรณ์อากาศยังเตือนว่า โฮจิมินห์ซิตี้ที่เป็นฮับการเงินของเวียดนาม มีความเสี่ยงอย่างมากที่จะเผชิญน้ำท่วมรุนแรงจากระดับน้ำในแม่น้ำไซ่ง่อนที่สูงขึ้น ประกอบกับฝนที่คาดว่า จะตกลงมาอย่างหนักจากอิทธิพลของไต้ฝุ่นคัลแมกี
รองนายกรัฐมนตรีตรัน ฮอง ฮาของเวียดนาม เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเตรียมพร้อมรับมือคัลแมกีอย่างเร่งด่วน โดยระบุในคำแถลงที่ออกมาเมื่อวันพุธว่า เป็นไต้ฝุ่นที่อันตรายและผิดปกติอย่างมาก
ทางการเวียดนามสั่งอพยพประชาชนจำนวนมากออกจากชุมชนริมฝั่ง ผู้สื่อข่าวของเอเอฟพีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ในเมืองกวีเญิน ตระเวนเตือนประชาชนถึงบ้านให้อพยพ
ทั้งนี้ เวียดนามเผชิญไต้ฝุ่นหรือพายุโซนร้อนปีละประมาณ 10 ลูก แต่สำหรับคัลแมกีถือเป็นพายุลูกที่ 13 ของปีนี้
ก่อนหน้านี้ ตอนที่ คัลแมกี ที่ ฐานข้อมูลภัยพิบัติระหว่างประเทศ (EM-DAT) ระบุว่า เป็นไต้ฝุ่นที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในโลกนับจากต้นปีมาถึงขณะนี้ ได้ขึ้นฝั่งภาคกลางของฟิลิปปินส์ตอนต้นสัปดาห์นี้นั้น ได้ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันรุนแรงอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนทั่วจังหวัดเซบู
สำนักงานป้องกันภัยพลเรือนฟิลิปปินส์แถลงเมื่อวันพฤหัสฯ ยืนยันตัวเลขผู้เสียชีวิตจากไต้ฝุ่นลูกนี้ที่ 114 คน ทว่ายังไม่รวมผู้เสียชีวิต 28 คนซึ่งเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในเซบูบันทึกเพิ่ม นอกจากนี้ยังมีผู้สูญหายอีก 127 คน ประชาชนได้รับผลกระทบเกือบ 2 ล้านคน โดยกว่า 500,000 คนต้องทิ้งบ้านเรือน
วันเดียวกันนั้น ประธานาธิบดีเฟอร์ดินันด์ มาร์กอส ประกาศภาวะภัยพิบัติระดับชาติ เพื่อให้รัฐบาลสามารถนำเงินจากกองทุนฉุกเฉินไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้เร็วขึ้น รวมทั้งยังสั่งควบคุมราคาสินค้าพื้นฐานและห้ามกักตุนอาหาร
มาร์กอสยังเตือนว่า ฟิลิปปินส์กำลังจะเผชิญไต้ฝุ่นลูกใหม่ที่อาจมีความรุนแรงกว่าคัลแมกี
ทั้งนี้ แม้เมื่อวันพฤหัสฯ พายุโซนร้อน “ฟงวอง” ยังอยู่ห่างจากด้านตะวันออกของฟิลิปปินส์กว่า 1,500 กม. แต่กำลังทวีความแรงอย่างช้าๆ ขณะมุ่งหน้าไปยังเกาะลูซอนซึ่งเป็นเกาะหลักของประเทศหมู่เกาะแห่งนี้ โดยคาดว่า ฟงวองอาจทวีความแรงถึงระดับซูเปอร์ไต้ฝุ่นก่อนขึ้นฝั่งฟิลิปปินส์ในวันจันทร์ (10)
มาร์กอสระบุว่า ผลกระทบจากคัลแมกีและไต้ฝุ่นลูกใหม่อาจครอบคลุมพื้นที่ถึง 2 ใน 3 ของประเทศ
เบนิสัน เอสตาเรจา นักอุตุนิยมวิทยาของสำนักงานบริการสภาพอากาศของฟิลิปปินส์ เปิดเผยกับสำนักข่าวเอเอฟพีว่า ปริมาณฝนตลอดเส้นทางที่ไต้ฝุ่นคัลแมกีเคลื่อนผ่านรวมแล้วสูงกว่าปริมาณฝนปกติที่ตกในเซบูตลอดเดือนพ.ย.ถึง 1.5 เท่าตัว โดยเป็นปรากฏการณ์ที่อาจเกิดขึ้นทุก 20 ปี
เอสตาเรจาเสริมว่า ชุมชนหลายแห่งทั่วทั้งเซบู ซึ่งความเป็นชุมขรเมืองสูง เป็นพื้นที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด
(ที่มา: เอเอฟพี/เอพี)


