xs
xsm
sm
md
lg

ชัตดาวน์หน่วยงานรบ.กลางสหรัฐฯกำลังยื้อทำลายสถิติใหม่ คนจนนับล้านๆเสี่ยงขาดอาหาร ขณะไฟลต์ดีเลย์ทำเดือดร้อน3.2ล้านคน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ลูกค้าเดินเข้าไปในร้านเบเกอรีแห่งหนึ่ง ในเมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ สหรัฐฯ เมื่อวันอาทิตย์ (2 พ.ย.) ซึ่งปิดป้ายรับการชำระเงินด้วยวิธีโอนเงินสวัสดิการ SNAP ทางอิเล็กทรอนิกส์  เอาไว้ตรงหน้าประตู
ชัตดาวน์หน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯย่างเข้าสู่วันที่ 35 ในวันอังคาร (4 พ.ย.) เทียบเท่าสถิติครั้งยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ซึ่งเกิดขึ้นในวาระแรกของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยที่พรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตในรัฐสภายังไม่มีทีท่าจะสามารถคลี่คลายสถานการณ์แต่สนใจมากกว่าที่จะประณามฝ่ายตรงข้ามว่าเป็นตัวการทำให้เกิดภาวะชะงักงันเช่นนี้ขึ้นมา

ขณะที่ผลกระทบกำลังไปถึงประชาชนวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ โดยคนยากจนจำนวนหลายสิบล้านทำท่าจะถูกลดความช่วยเหลือด้านอาหารเป็นครั้งแรก ส่วนการสัญจรทางอากาศก็ยิ่งเพิ่มความติดขัด และเศรษฐกิจกำลังเคลื่อนตัวไปท่ามกลางความมืดมนเพราะรัฐบาลสามารถรายงานข้อมูลสถานการณ์ได้อย่างจำกัด

วุฒิสภาสหรัฐฯได้ลงคะแนนกันสิบกว่าครั้งแล้วเพื่อพยายามผ่านร่างงบประมาณรายจ่ายฉุกเฉินชั่วคราวมาแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ขณะที่สภาผู้แทนราษฎรยังไม่ขยับทำอะไร และยังไม่มีสมาชิกรัฐสภาคนไหนเปลี่ยนจุดยืนซึ่งจะทำให้ภาวะชะงักงันเช่นนี้แปรเปลี่ยนไปได้

พรรครีพับลิกันของทรัมป์เป็นผู้ที่ครองเสียงข้างมากในทั้ง 2 สภา แต่ที่เห็นกันว่ามีโอกาสผ่าทางตันสูงกว่าคือผ่านทางสภาสูง ซึ่งรีพับลิกันมี 53 เสียงขณะเดโมแครตมี 47 เสียง ทว่าตามระเบียบข้อบังคับในเวลานี้ ต้องมีฝ่ายเดโมแครตอย่างน้อย 7 เสียงเปลี่ยนมาโหวตหนุนรีพับลิกัน จึงจะได้เสียงครบ 60 เสียงสำหรับการผ่านกฎหมายสำคัญทั้งหลาย โดยที่เดโมแครตยังคงรักษาคะแนนโหวตของพวกเขาเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น เพื่อการต่อรองให้รีพับลิกันยอมขยายเวลามาตรการอุดหนุนการประกันสุขภาพบางอย่างบางประเภท

“เหยื่อของการชัตดาวน์ของเดโมแครตคราวนี้ กำลังเริ่มเพิ่มทบทวีขึ้นเรื่อยๆ” จอห์น ธูน ส.ว.รีพับลิกันที่เป็นผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภากล่าวในวันจันทร์ (3) “คำถามคือเดโมแครตจะทำเรื่องนี้ต่อไปอีกนานเท่าใด อีกเดือนหนึ่ง? สองเดือน? สามเดือน?”

ด้าน ชัค ชูเมอร์ ส.ว.เดโมแครตที่เป็นผู้นำเสียงข้างน้อยในสภาสูง ตอบโต้ในวันเดียวกันโดยชี้ไปที่ทรัมป์ว่ากำลังสนใจอยู่แต่ในเรื่องอื่นๆ

“ขณะที่ โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังคุยอวดเรื่องดัดแปลงปรับปรุงห้องน้ำต่างๆ ในทำเนียบขาวเสียใหม่ ชาวอเมริกันกำลังตื่นตระหนกในเรื่องที่ว่าพวกเขาจะแบกรับค่าใช้จ่ายด้านดูแลสุขภาพกันยังไงในปีหน้า” ชูเมอร์ กล่าวโดยอ้างอิงถึงคำพูดของทรัมป์ในเรื่องปรับปรุงห้องน้ำนี้เมื่อวันศุกร์ (31 ต.ค.)

ตั้งแต่วันเสาร์ (1 พ.ย.) โครงการความช่วยเหลือด้านโภชนาการเสริม (SNAP) ระบุว่าหมดเงินงบประมาณ และครอบครัวของคนยากจนจำนวนมากเวลานี้ไม่ได้รับแจกแสตมป์แลกอาหารที่เคยได้เฉลี่ยเดือนละ 180 ดอลลาร์

ส่วนหนึ่งของโปรแกรม “เฮดสตาร์ท” ซึ่งเป็นโครงการให้การเรียนรู้แต่เนิ่นๆ สำหรับเด็กๆ ในครอบครัวผู้มีรายได้น้อย ก็ต้องปิดตัวลง เมื่อไม่มีงบประมาณก้อนใหม่เข้ามาตั้งแต่ย่างเข้าเดือนพฤศจิกายน

พวกข้าราชการลูกจ้างรัฐบาลกลางสหรัฐฯ อย่างเช่น เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายและสมาชิกของกองทัพเวลานี้ไม่ได้รับเงินเดือนในตอนสิ้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เช่นเดียวกับพวกเจ้าหน้าที่กลั่นกรองด้านความปลอดภัยที่สนามบินและเจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศ ซึ่งกำลังส่งผลให้มีผู้ลาป่วยลาหยุดกันเพิ่มมากขึ้นจนกระทั่งมีเจ้าหน้าที่ไม่พอทำงาน และต้องมีเที่ยวบินดีเลย์จำนวนมาก ตามการแถลงของกลุ่มสายการบินในวันจันทร์ (3) มีผู้โดยสารเครื่องบินในสหรัฐฯมากกว่า 3.2 ล้านคนแล้วที่ได้รับความเดือดร้อนจากการล่าช้าหรือกระทั่งการงดเที่ยวบิน นับตั้งแต่การชัตดาวน์รอบนี้เริ่มต้นขึ้นมา

สำหรับโครงการสแนป เดิมทีกระทรวงเกษตรที่กำกับดูแลโครงการนี้อยู่ มีแผนระงับการจ่ายเงินให้โครงการนี้ไปเลยตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. อย่างไรก็ดี ศาลชั้นต้นมีคำตัดสินว่าจะทำเช่นนี้ไม่ได้

สแนปให้ความช่วยเหลือชาวอเมริกันถึง 1 ใน 8 ของประชากรทั้งหมด และเป็นองค์ประกอบสำคัญในโครงข่ายความปลอดภัยทางสังคมของประเทศ โดยในแต่ละเดือนมีค่าใช้จ่ายกว่า 8,000 ล้านดอลลาร์

ผู้ที่มีคุณสมบัติได้รับความช่วยเหลือภายใต้โครงการสแนปคือ ครัวเรือนที่มีรายได้สุทธิหลังหักค่าใช้จ่ายบางอย่างต่ำกว่าเกณฑ์ความยากจนที่รัฐบาลกลางกำหนด เช่น ราวปีละ 32,000 ดอลลาร์สำหรับครัวเรือนที่มีสมาชิก 4 คน

เวลานี้คณะบริหารสหรัฐฯ ระบุว่า กองทุนฉุกเฉินที่สามารถนำมาใช้มีเงินเพียง 4,650 ล้านดอลลาร์ หรือเพียงครึ่งหนึ่งของสวัสดิการที่แจกจ่ายปกติ และปัญหานี้จะคงอยู่ต่อไปในเดือนหน้า หากยังไม่สามารถยุติการชัตดาวน์ได้

นอกจากนั้นยังไม่มีความชัดเจนว่า ประชาชนจะได้รับสวัสดิการนี้เท่าใดและรวดเร็วแค่ไหน โดยขณะนี้ชาวอเมริกันหลายล้านคนยังไม่ได้รับสวัสดิการสำหรับเดือนพ.ย.

ทั้งนี้ กระบวนการโหลดบัตรสแนป ซึ่งหมายถึงขั้นตอนต่างๆ ที่หน่วยงานของรัฐบาลกลาง และร้านค้าต้องดำเนินการนั้น อาจใช้เวลานานถึง 2 สัปดาห์ในบางรัฐ แต่กระทรวงเกษตรเตือนในเอกสารที่ยื่นต่อศาลเมื่อวันจันทร์ (3 พ.ย.) ว่า รัฐต่างๆ อาจต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนในการเปลี่ยนแปลงระบบเพื่อโอนสวัสดิการที่ถูกปรับลดลงไปให้ประชาชน

แพทริก เพนน์ รองปลัดกระทรวงเกษตรด้านบริการโภชนาการและผู้บริโภค ระบุในเอกสารที่ส่งให้ศาลในวันจันทร์ว่า กระทรวงฯ ตัดสินใจไม่นำเงินทุนฉุกเฉินมาใช้เพื่อให้แน่ใจว่า โครงการโภชนาการเด็กจะมีเงินสนับสนุนเพียงพอสำหรับช่วงเวลาที่เหลืออยู่ของปีงบประมาณปัจจุบันที่จะสิ้นสุดในเดือนก.ย.ปีหน้า

นอกจากนั้นเจ้าหน้าที่อาวุโสผู้หนึ่งในคณะบริหารเปิดเผยเมื่อวันจันทร์ว่า รัฐบาลได้อัดฉีดโครงการโภชนาการเสริมพิเศษสำหรับสตรี ทารก และเด็ก (WIC) เพื่อช่วยเหลือมารดาที่มีรายได้ต่ำ 450 ล้านดอลลาร์ เพิ่มเติมจากเดือนที่ผ่านมาที่นำรายได้จากภาษีศุลกากรมาจัดสรรให้ 300 ล้านดอลลาร์

แอนเดรีย จอย แคมป์เบล อัยการสูงสุดรัฐแมสซาชูเสตส์ ซึ่งเป็นผู้นำกลุ่มเจ้าหน้าที่ในรัฐของเดโมแครตที่ยื่นฟ้องศาลเพื่อให้รัฐบาลอัดฉีดโครงการสแนปต่อไป แถลงว่า หากคณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ให้การสนับสนุนโครงการนี้เต็มจำนวนทั้งที่สามารถทำได้ จะส่งผลให้คนอเมริกันนับล้านต้องหิวโหยและใช้เวลารอคอยความช่วยเหลือนานขึ้นขณะที่รัฐบาลดำเนินมาตรการเพิ่มเติมที่จำเป็นสำหรับการสนับสนุนโครงการนี้เพียงบางส่วน

เดโมเครซี ฟอร์เวิร์ด ซึ่งเป็นตัวแทนของผู้ฟ้องร้องในคดีหนึ่ง เผยว่า กำลังพิจารณาทางเลือกทางกฎหมายเพื่อให้รัฐบาลสนับสนุนสแนปเต็มจำนวน

กลุ่มสนับสนุนและประชาชนผู้รับสวัสดิการชี้ว่า การระงับความช่วยเหลือด้านอาหารจะบีบให้ประชาชนต้องเลือกระหว่างซื้อของชำกับชำระค่าใช้จ่ายอื่นๆ ขณะที่รัฐส่วนใหญ่ประกาศอัดฉีดธนาคารอาหารเพิ่มหรือเร่งรัดหาวิธีการใหม่ๆ ในการโหลดสวัสดิการบางอย่างเข้าสู่บัตรเดบิตสแนป

สำหรับผลกระทบต่อการสัญจรทางอากาศ เฉพาะในวันจันทร์ องค์การบริหารการบินแห่งอเมริกา (เอฟเอเอ) เผยว่า มีเที่ยวบินล่าช้าเกือบ 2,900 เที่ยว และคาดว่า ปัญหานี้จะรุนแรงขึ้นในสนามบินในฮิวสตันและวอชิงตัน

ก่อนหน้านี้ ฌอน ดัฟฟี รัฐมนตรีคมนาคม เตือนว่า คณะบริหารอาจระงับระบบการบินทั้งหมดถ้าเห็นว่า การชัตดาวน์ส่งผลให้การเดินทางมีความเสี่ยงสูงเกินไป

การชัตดาวน์ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศ 13,000 คน และเจ้าหน้าที่หน่วยงานความปลอดภัยในการเดินทาง 50,000 คนทำงานโดยไม่ได้รับค่าตอบแทน และหลายคนในจำนวนนี้เลือกลาป่วยเพื่อไปหารายได้อย่างอื่นทดแทน

วันศุกร์ที่ผ่านมา (31 ต.ค.) เอฟเอเอรายงานว่า เกือบครึ่งของสนามบินที่มีผู้ใช้บริการหนาแน่นที่สุด 30 แห่งขาดแคลนเจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศ ส่งผลให้เที่ยวบินกว่า 6,200 เที่ยวล่าช้า และ 500 เที่ยวต้องยกเลิก ซึ่งนับเป็นวันที่เลวร้ายที่สุดนับจากการชัตดาวน์เริ่มต้นขึ้น

ขณะเดียวกัน แอร์ไลนส์ ฟอร์ อเมริกา ซึ่งเป็นตัวแทนของสายการบินชั้นนำของอเมริกา เผยว่า นับตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. มีผู้โดยสารกว่า 3.2 ล้านคนได้รับผลกระทบจากเที่ยวบินล่าช้าหรือถูกยกเลิกอันเนื่องมาจากปัญหาการขาดแคลนเจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศ โดยเฉพาะในวันศุกร์นั้นมีผู้โดยสารที่ได้รับผลกระทบถึง 300,000 คน

สายการบินใหญ่ที่สุด 4 แห่ง และสมาคมเจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศแห่งชาติร่วมกันเรียกร้องให้คองเกรสเร่งผ่านร่างงบประมาณชั่วคราวเพื่อให้หน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาลกลับมาเปิดดำเนินการได้ตามปกติ และย้ำว่า การชัตดาวน์เพิ่มความเสี่ยงด้านความปลอดภัยในการบิน

(ที่มา: เอพี/รอยเตอร์)
กำลังโหลดความคิดเห็น